รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมระดับต้น “MINI Cooper SE”

จากการที่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยึดหลักการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผสานนวัตกรรมทางดิจิทัลในการให้บริการ เพื่อเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและหลากหลายให้แก่ลูกค้า

ที่สำคัญ ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และรับผิดชอบต่อสังคม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี จนกลายเป็นแชมป์รถยนต์พรีเมียม 2 ปีซ้อน โดยในปีที่ผ่านมา นอกจากจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูมากถึง 9,982 คันแล้ว รถยนต์มินิซึ่งเป็นอีกแบรนด์ยอดนิยมสำหรับลูกค้าคนไทยก็มียอดจดทะเบียนมากถึง 1,050 คันเลยทีเดียว

โดยคุณอเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมระดับต้นอย่าง “MINI Cooper SE” นั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV ที่มีราคาและคุณภาพสอดคล้องกันไปอย่างดี ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2,399,000 บาทเท่านั้น เวลาขับขี่จะให้ความรู้สึกเหมือนขับรถโกคาร์ท (Go-Kart feeling) อันเป็นเอกลักษณ์สำหรับรถยนต์มินิ นอกจากความรู้สึกในการขับขี่ที่ดีแล้ว ยังมอบความมั่นคงและปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน

ซึ่งนี่คือสิ่งที่รวมอยู่ใน “MINI Cooper SE” ขณะที่ความต้องการของลูกค้าสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ทางคุณอเล็กซานเดอร์ บอกว่า ล้นหลามมาก โดยอัตราการเติบโตในปี 2021 ที่ผ่านมาของรุ่นนี้ในตลาดโลก มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ราว ๆ 98.2% เลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ การเติบโตนี้ก็สอดคล้องไปกับเทรนด์ใหญ่ของโลกที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรง

โดย “MINI Cooper SE” รองรับการชาร์จไฟฟ้าในหลายรูปแบบ ทั้งไฟบ้านแบบ AC และ สถานีแบบ DC Quick Charge ซึ่งถ้าชาร์จแบบเร่งด่วน 10 – 80% จะใช้เวลาประมาณ 36 นาที ส่วนช่องชาร์จไฟจะติดตั้งอยู่บริเวณเดียวกับฝาถังน้ำมันเดิมของมินิรุ่นเครื่องยนต์ปกตินั่นเอง

ระยะเวลา และรูปแบบในการชาร์จไฟฟ้า

  • ไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC (ปลั๊กไฟบ้านมาตรฐาน) ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% ประมาณ 12 ชั่วโมง
  • ไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC (Wallbox ขนาด 4 kW) ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% ประมาณ 3 ชั่วโมง 12 นาที
  • ไฟฟ้ากระแสตรง หรือ DC (ตู้ชาร์จไฟสาธารณะแบบ CCS Combo2 ขนาด 50 kW) ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% ประมาณ 36 นาที

โดยแบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium-ion ขนาดความจุ 32.6 kWh พร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, Green และ Green+ ขณะที่ระบบความบันเทิง หรือ Entertainment นั้น ทาง “MINI Cooper SE” ก็มีครบครัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอกลางระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 6.5 นิ้ว, ระบบนำทาง Navigation System, ระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charging, รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay, ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth, ช่องเชื่อมต่อ USB, ระบบเชื่อมต่อ MINI Connected และอื่น ๆ

ด้านระบบความปลอดภัย Assistant & Safety ของรถยนต์ก็มีทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC, ระบบป้องกันการลื่นไถล ASC + T, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist, ระบบควบคุมการขับขี่ DTC พร้อม Electronic Differential Lock Control (EDLC), ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย), เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง PDC และกล้องมองภาพขณะถอยจอด

ขณะที่ในเรื่องของบริการหลังการขาย คุณอเล็กซานเดอร์ บารากา บอกว่า ตอนนี้ทางบริษัทฯ จะเพิ่มจุดบริการหลังการขายให้มากขึ้น ให้สอดคล้องกับปริมาณลูกค้าที่มากขึ้น และตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นในการยกระดับบริการของเราให้สูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา

โดยความสำเร็จในแง่ของการบริการสะท้อนออกมาผ่านตัววัดผลด้านความพึงพอใจของลูกค้า หรือ NPS Score ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับปี 2021 ที่ผ่านมา และในไตรมาสแรกของปี 2022 ที่เพิ่งจบไป คะแนนตรงนี้ของเราก็เพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อเทียบกับในช่วงปี 2021

คุณอเล็กซานเดอร์ ปิดท้ายว่า สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยตอนนี้นั้น โดยภาพรวมแล้วตัวเขารู้สึกดีที่ได้เห็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก เคียงคู่ไปกับการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมทั้งหมด แม้ตอนนี้ยังคงมีข้อจำกัดในโครงสร้างพื้นฐาน อย่างสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศมากพอ ซึ่งตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของลูกค้า และเชื่อมั่นว่าการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง