PisesPowder

ชวนรู้จัก ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ ผลิตภัณฑ์สุดยูนีคอายุ 73 ปี กับการสร้างรายได้หลักสิบล้านบาท

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ ผลิตภัณฑ์ยาผงที่บรรจุอยู่ในซองสีส้มขนาดเล็กที่เหมาะแก่การพกพา และเชื่อว่ามีอีกหลายคนเช่นกันที่ได้ยินชื่อนี้กันมาจนคุ้นหู เนื่องจากเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของและอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนานถึง 73 ปี แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่านอกจากการที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังคงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบันแล้ว ในแง่ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในแต่ละปีก็สูงถึงหลักสิบล้านบาทเลยทีเดียว

โดยในวันนี้ Business+ จะพาทุกท่านย้อนไปยังจุดกำเนิดของ ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ และที่มาของชื่อแบรนด์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนจดจำได้มาจนถึงปัจจุบัน

เริ่มจากผู้ก่อตั้งอย่างคุณสมเกียรติ ศุภโกวิท ที่จากเดิมเคยรับราชการที่กรมป่าไม้ แต่เนื่องจากมีใจรักในการค้าขาย จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะผลิตยาขาย เพราะเห็นว่าอาชีพขายยาเป็นอาชีพที่สงบและเป็นกุศล จึงคิดที่จะผลิตยาที่มีคุณภาพ ราคาถูก เหมาะกับผู้ที่มีรายได้น้อย จึงได้อาศัยความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา พยายามคิดค้น และพัฒนาสูตรยาจากเภสัชตำรับทั้งในและต่างประเทศ โดยซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาปรุงผสมกับตัวยาอื่น ๆ ใช้เวลาทดลองอยู่นานจึงได้ตำรับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ใช้โรยแผล รักษาสิว และฝีหนอง มาบรรจุซองขาย

ต่อมาเมื่อเริ่มขายดี คุณสมเกียรติจึงพยายามคิดตั้งชื่อตำรับยาผงโรยแผลและรักษาสิวที่ได้พัฒนาขึ้น โดยเป็นช่วงที่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มสงบ ในขณะที่คุณสมเกียรติได้ไปนอนพักอยู่ใต้ต้นประดู่หลังวัดเทพศิรินทราวาส จังหวัดกรุงเทพมหานคร เห็นเครื่องบินบินผ่านมา มีทหารมากมายโดดร่มชูชีพลงมาทั่วท้องฟ้า จึงเกิดความคิดและตัดสินใจใช้ ‘ร่มชูชีพ’ เป็นเครื่องหมายการค้า และตั้งชื่อตำรับยาผงโรยแผลรักษาสิวนี้ว่า ‘ผงวิเศษ’ พร้อมทั้งนำรูปของตนเองมาไว้บนซองยา และได้นำชื่อ ‘สมจิตต์’ ซึ่งเป็นชื่อของภรรยามาตั้ง จึงได้เป็นชื่อบริษัท กลายเป็น บริษัท สมจิตต์โอสถ จำกัด โดยในช่วงแรกบริษัทฯ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 96 ถนนจักรพรรดิพงษ์ แขวงนางเลิ้ง เขตพระนคร กรุงเทพฯ และผงวิเศษตราร่มชูชีพได้ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2493

ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 คุณสมเกียรติได้พยายามพัฒนาสูตรตำรับ ยาแก้ปวดพัน และยาธาตุน้ำแดงขึ้นเมื่อพัฒนาสูตรตำรับยาสำเร็จ จึงได้นำยาแก้ปวดฟันตราร่มชูชีพ และยาธาตุวิเศษตราร่มชูชีพ ออกจำหน่ายในท้องตลาด (ยกเลิกผลิตและจำหน่ายทั้งสองผลิตภัณฑ์ในปี พ.ศ. 2518 เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตบางตัวหายาก และเกิดความไม่สะดวกในการขนส่งยาสำเร็จรูป)

อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2505 กระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฏหมายใหม่ ให้เปลี่ยนชื่อยาต่าง ๆ ที่มีชื่อฟังแล้วเป็นการอวดอ้างสรรพคุณในการรักษา คุณสมเกียรติฯ จึงได้เปลี่ยนชื่อยาจาก ‘ผงวิเศษตราร่มชูชีพ’ เป็น ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ ซึ่งแปลว่าแตกต่างไปจากสามัญ

ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2527 คุณสมเกียรติได้สร้างโรงงานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นอาคารสูงเจ็ดชั้น พร้อมโรงพิมพ์สองชั้น โดยใช้เครื่องจักรในการผลิตและบรรจุที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมันตามมาตรฐานสากล ซึ่งจากความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทำให้ในปี พ.ศ. 2532 บริษัท สมจิตต์โอสถ จำกัด ได้รับหนังสือรับรองมาตรฐาน การผลิตยา (GMP) จากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยากลุ่มแรกๆ ที่ได้รับมาตรฐานนี้

โดยโรงงานแห่งนี้ได้มีการดำเนินการผลิตยามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2542 บริษัทฯ ภายใต้การนำของทายาทของ ดร.สมเกียรติ ได้ปรับปรุงโรงงาน ทั้งสถานที่ผลิตอันทันสมัย รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์ที่แม่นยำเพื่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ และได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ตราร่มชูชีพ’ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ คือ ยาหม่องตราร่มชูชีพ ในปี พ.ศ. 2547

สำหรับสรรพคุณของ ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ นั้น แม้ว่าหลัก ๆ แล้วจะมีไว้เพื่อฆ่าเชื้อ รักษาแผล แต่หนึ่งในสรรพคุณที่สำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาตำรับโบราณนี้ยังคงอยู่คู่คนไทยมาได้อย่างยาวนานกว่า 70 ปี คือการใช้รักษาสิว ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีการส่งต่อเคล็ดลับมากมายในการนำ ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ ไปผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นสูตรในการรักษาสิวซึ่งถือเป็นปัญหากวนใจของวัยรุ่น และด้วยการส่งต่อเคล็ดลับเหล่านี้ ทำให้ชื่อของ ‘ผงพิเศษตราร่มชูชีพ’ ยังคงไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา อีกทั้งสร้างมูลค่าอย่างมหาศาลให้กับบริษัทอีกด้วย

โดยจากการตรวจสอบข้อมูลผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของ บริษัท สมจิตต์โอสถ จำกัด พบว่าในแต่ละปี บริษัทสามารถทำรายได้สูงถึงระดับสิบล้านบาท ดังนี้

ปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 34,619,830.26 บาท ลดลง 8.80% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 37,960,420.66 บาท และมีกำไรสุทธิ 813,655.40 บาท จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,455,722.44 บาท

ปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 39,272,919.09 บาท เพิ่มขึ้น 13.44% จากปี 2563 และมีกำไรสุทธิ 264,393.10 บาท ลดลง 67.50% จากปี 2563

ปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 25,951,979.44 บาท ลดลง 33.91% จากปี 2564 และขาดทุนสุทธิ 5,256,048.19 บาท

นอกจากนี้ ในส่วนของ บริษัท ผงพิเศษตราร่มชูชีพ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ก็มีรายได้ต่อปีในหลักสิบล้านบาทเช่นกัน ดังนี้

ปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 40,929,106.73 บาท ลดลง 9.33% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 45,144,815.88 บาท และมีกำไรสุทธิ 3,060,714.28 บาท จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,087,649.21 บาท

ปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 44,778,412.09 บาท เพิ่มขึ้น 9.40% จากปี 2563 และมีกำไรสุทธิ 3,316,403.95 บาท เพิ่มขึ้น 8.35% จากปี 2563

ปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 33,314,723.65 บาท ลดลง 25.60% จากปี 2564 และมีกำไรสุทธิ 2,614,940.10 บาท ลดลง 21.15% จากปี 2564

จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่า ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หากบริษัทมีสินค้าที่ดี มีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภค สินค้าก็ยังคงสามารถทำให้เกิดการซื้อได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีสินค้าชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงจากบริษัทคู่แข่งออกมาให้ผู้บริโภคเลือกสรรเป็นจำนวนมาก และไม่ได้ทำการตลาดในลักษณะของการโฆษณาตามกระแส ดังนั้น การให้ความใส่ใจในผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคถือเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ทั้งตัวของผลิตภัณฑ์และบริษัทประสบความสำเร็จ

ที่มา : parachutebrand, datawarehouse

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/

#Businessplus #TheBusinessplus #นิตยสารBusinessplus #ผงพิเศษตราร่มชูชีพ #ผงวิเศษตราร่มชูชีพ #ตราร่มชีพ #ไอเทมรักษาสิว #ตำรับยาโบราณ #PisesPowderParachuteBrand #ParachuteBrand