‘ตรางู’ ตำนานแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 130 ปี จากร้านขายยาเล็ก ๆ สู่อาณาจักรธุรกิจสุดยิ่งใหญ่ และการพัฒนาสินค้าไม่ให้เลือนหายไปตามกาลเวลา

ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจนปรอทแตกในช่วงนี้ หลาย ๆ คนคงหาวิธีคลายร้อนตามแบบฉบับของตัวเองเพื่อให้ร่างกายได้คลายความร้อน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแอร์ฉ่ำ ๆ หรือออกไปท่องเที่ยวตามแหล่งน้ำอย่างทะเล, น้ำตก หรือสวนน้ำ การดื่มน้ำอัดลม การกินผลไม้ที่ช่วยให้ชื่นใจอย่างแตงโม หรือการเลือกใช้วิธีสุดคลาสสิคอย่างการทาแป้งเย็น ล้วนแล้วแต่เป็นวิถีชีวิตที่คนไทยคุ้นเคยทั้งสิ้น และเมื่อนึกถึงผลิตภัณฑ์แป้งเย็น แน่นอนว่าชื่อของ ‘แป้งเย็นตรางู’ คงเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนไทยนึกถึง ด้วยความเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานถึง 131 ปี

แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าแบรนด์ระดับตำนานของไทยอย่าง ‘ตรางู’ นั้น มีอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มากกว่าแค่การขายแป้งเย็น และในวันนี้ Business+ จะพาทุกท่านไปย้อนวันวานไปยังจุดกำเนิดของ ‘ตรางู’ ตั้งแต่วันก่อตั้งจนถึงวันขยายอาณาจักรธุรกิจ

จุดกำเนิด ‘ตรางู’

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2435 ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) ได้ถือกำเนิดขึ้นโดย ‘นายแพทย์โทมัส เฮย์วาร์ด เฮย์’ และ ‘ดร.ปีเตอร์ กาแวน’ ได้เปิดเป็นร้านขายยาที่ทันสมัย มีเภสัชกรประจำตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยมีสัญลักษณ์รูปงูมีลูกศรปักที่หัวเป็นเครื่องหมายการค้า สื่อถึงงูที่เป็นอสรพิษ ซึ่งเปรียบเสมือนโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนลูกศรเปรียบเสมือนยารักษาโรค การเลือกใช้สัญลักษณ์ ‘งูมีลูกศรปัก’ จึงเป็นเสมือนตัวแทนสัญลักษณ์ของคุณภาพ หากมีเครื่องหมายนี้บนสินค้า แสดงว่าสินค้านั้น ๆ มีคุณภาพดี

สำหรับห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) สาขาแรกตั้งอยู่ที่ปากตรอกโรงภาษีที่ถนนเจริญกรุง มุมถนนสุรวงศ์ ต่อมาเนื่องจากกิจการดําเนินมาได้ด้วยดี ในปี พ.ศ. 2440 จึงได้ขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่งที่สี่กั๊กพระยาศรี หลังจากนั้นดร.กาแวน ผู้ร่วมหุ้นคนสำคัญมีความจำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศอังกฤษ จึงได้ขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดให้แก่หมอเฮย์ อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2449 หมอเฮย์ได้ขายกิจการทั้งหมดให้แก่คนปรุงยาในร้าน ได้แก่ ‘มร.แมกเบท’ ซึ่งต่อมาได้ทำการเปิดสาขาใหม่ที่หัวมุมถนนเจริญกรุงตัดกับถนนสี่พระยา และได้ปิดกิจการที่ร้านปากตรอกโรงภาษีลง โดยช่วงนั้นนอกจากจะเป็นผู้ผลิตยาเองแล้วยังเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ‘เซนลุกซ์’ ของประเทศอังกฤษ เช่น สบู่เซนลุกซ์, น้ำมันเซนลุกซ์ รวมไปถึงน้ำมันตับปลา (Scott’s Emulsion) และ ยาแก้ปวดเพอร์รีเดวิส (Perry Davis’s Painkiller) เป็นต้น

การเปลี่ยนมือผู้บริหารครั้งสำคัญ

หลังจากการเปลี่ยนผ่านผู้บริหารมาหลายครั้ง ในที่สุด ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) ก็เดินทางมาถึงช่วงเวลาการเปลี่ยนมือสู่ผู้นำคนใหม่ที่จะนำพาอาณาจักรของ ‘ตรางู’ สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อเวลาต่อมา ‘มร.แมกเบท’ เดินทางกลับประเทศของตนในปี พ.ศ. 2471 จึงขายกิจการทั้งหมด ตลอดจนตำรับยาต่าง ๆ พร้อมลิขสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ‘เซนลุกซ์’ เป็นเงินทั้งสิ้น 100,000 บาท ให้กับ ‘หมอล้วน ว่องวานิช’ ดำเนินการต่อ ซึ่งนอกจากกิจการเดิมที่ได้รับช่วงต่อมาบริหารแล้ว หมอล้วนยังได้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศ เช่น บูธส์, อลิซาเบธอาร์เดน, คริสเตียนดิออร์ พร้อมทั้งเริ่มคิดค้นพัฒนาสูตรสินค้าต่าง ๆ จนเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ ‘แป้งเย็น’

โดยในปี พ.ศ. 2475 ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) เริ่มผลิต ‘แป้งน้ำมโนรา’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘แป้งน้ำควินนาง’ ซึ่งถือเป็นต้นตำรับแป้งเย็นรายแรกในประเทศไทย และกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของเครื่องสำอางในยุคนั้นที่มีทั้งความหอมและความเย็นรวมอยู่ด้วยกัน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 ‘หมอล้วน ว่องวานิช’ ได้พัฒนาสินค้าใหม่ คือ แป้งเด็กเซนลุกซ์ เพื่อสนองตลาดที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับเด็ก

กำเนิด ‘แป้งเย็นตรางู’

ในปี พ.ศ. 2490 มีประวัติว่านายบริสเบน ซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความ ได้มาหา ’หมอล้วน’ เนื่องจากเป็นผดผื่นคัน โดยหมอล้วนได้ให้คาลาไมน์ (Calamine) ไปใช้ แต่นายบริสเบนก็ยังไม่หายจากอาการ หมอล้วนจึงคิดสูตรแป้งเย็นขึ้นมา โดยผสมแป้งและเพิ่มความเย็นและให้นายบริสเบนนำไปใช้ ปรากฎว่าได้ผลดี ผดผื่นคันหาย และยังสบายตัว ทำให้สรรพคุณของ ‘แป้งเย็นตรางู’ เป็นที่เลื่องลือกันปากต่อปาก จนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในแง่ของการใช้บรรเทาอาการผดผื่นคันและทำให้รู้สึกเย็นสบายผิว ถือเป็นแป้งเย็นต้นตำรับยี่ห้อแรกที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และยังส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ และยังเป็นต้นตำรับแป้งเย็นเจ้าแรกของโลกอีกด้วย

เนื่องจาก ‘แป้งเย็นตรางู’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ในปี พ.ศ. 2495 หมอล้วนได้คิดค้นวิธีเก็บความเย็นของผลิตภัณฑ์ให้ได้นานยิ่งขึ้น และใช้งานได้ง่ายขึ้น จึงนำมาสู่กระป๋องเหล็กอันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘แป้งเย็นตรางู’ ที่ยังคงรูปแบบที่คนไทยเห็นก็ต้องรู้จักมายาวนานถึง 60 ปี โดยในช่วงแรกนั้น กระป๋องจำเป็นต้องนำเข้ามาจากเมืองนอก จนกระทั่ง กระป๋องประสบภาวะขาดแคลน ประกอบกับประเทศไทยสามารถผลิตกระป๋องได้เอง จึงเปลี่ยนมาใช้กระป๋องที่ผลิตภายในประเทศไทยในภายหลัง

เดินหน้าพัฒนาสินค้าอย่างสม่ำเสมอ

ด้วยความเป็นธุรกิจที่ไม่หยุดพัฒนาสินค้าอยู่เสมอ ทำให้ในเวลาต่อมาได้เริ่มค้นคว้าและพัฒนาสินค้าด้านเวชภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตยาแก้ไข้เด็กตรางู, ยาแก้ไอเด็กตรางู, ยาแก้หวัดเด็กตรางู ยาแก้ไอน้ำดำตรางู, น้ำมันเซนลุกซ์ ฯลฯ

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2506 ได้ก่อตั้ง ‘บริษัท แอล.พี.แสตนดาร์ด แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด’ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเวชภัณฑ์ และเครื่องสำอาง เพื่อรองรับการขยายการผลิตสินค้าคุณภาพสูง ที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานการผลิต GMP จากกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ‘คุณอนุรุธ ว่องวานิช’ เริ่มเข้ามาดูแลบริหารงาน และได้ขยายตลาดสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์เด็กเซนลุกซ์, แชมพูเซนลุกซ์ สูตรเย็น, สบู่เย็นตรางู และวางตลาดผลิตภัณฑ์เด็กเซนลุกซ์ แป้ง สบู่ แชมพู โลชั่นเด็ก ครบไลน์สินค้า

ปี พ.ศ. 2540 ควบรวมกิจการด้านการจัดจำหน่ายและโรงงานผลิต ภายใต้ชื่อ ‘บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด’ ด้วยทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการผลิต รับจ้างผลิต จัดจำหน่าย นำเข้า และส่งออก จากนั้นในปี พ.ศ. 2542 บริษัทได้รับหนังสือรับรองระบบการบริหารจัดการด้านคุณภาพ ISO 9001 และระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001 และเป็นบริษัทผลิตยาและเครื่องสำอางรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับหนังสือรับรอง พร้อมกันทั้ง 2 ระบบ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 พัฒนาคุณภาพสินค้าควบคู่กับการทำ Brand Modernization อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการ ของตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแต่งตั้งบริษัทตัวแทนการจัดจำหน่ายสินค้าภายในประเทศของบริษัท และในปี พ.ศ. 2550 ได้เปิดตัวโครงการ ‘Cool the world’ เพื่อรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนผ่านการออกแป้งตรางู ดีไซน์เฉพาะกิจ พิชิตโลกร้อน

และในปี พ.ศ. 2551 ได้เข้าซื้อกิจการ ‘บริษัท ฟาร์มาคอสเม็ท จำกัด (มหาชน)’ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์ภายใต้แบรนด์ ‘Tea Tree’ และ ‘Scacare’ เพื่อขยายประเภทธุรกิจให้สอดคล้องและครอบคลุมให้ครบวงจร เพื่อตอบสนองผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2555 ได้ทำการรวมธุรกิจภายใต้ชื่อ ‘BD Group’ ส่งผลให้ในปัจจุบัน กลุ่มบริษัท อังกฤษตรางู มีบริษัทในเครือจำนวน 5 บริษัท ได้แก่

1. บริษัท ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภค-บริโภค ขายส่งสินค้าทางเภสัชกรรมและเวชภัณฑ์

2. บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค

3. บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) สาย 5 จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตเครื่องหอม, เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ

4. บริษัท บริทิช ดิสเพนซารี่ เฮลท์แคร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องสำอาง

5. บริษัท บริทิช ดิสเพนซารี่ คอนซูมเมอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องสำอาง, เวชภัณฑ์ และครีมบำรุงต่าง ๆ

ในด้านของผลดำเนินงานของเครือ ‘BD Group’ ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มบริษัทที่ทำผลงานได้เป็นอย่างดี โดยผลประกอบการปี 2564 ของบริษัทในเครือ ‘D Group’ ทั้ง 5 บริษัท พบว่า

1. บริษัท ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) จำกัด มีรายได้รวมอยู่ที่ 70,396,563.81 บาท ลดลง 10.99% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 79,088,916.47 บาท และมีกำไรสุทธิ 2,387,361.58 บาท เพิ่มขึ้น 35.37% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 1,763,528.72 บาท

2. บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด มีรายได้รวมอยู่ที่ 478,890,459.16 บาท เพิ่มขึ้น 16.88% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 409,701,180.50 บาท และมีกำไรสุทธิ 39,108,228.97 บาท จากปี 2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 4,061,018.89 บาท

3. บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) สาย 5 จำกัด มีรายได้รวมอยู่ที่ 81,009,975.78 บาท ลดลง 15.11% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 95,440,2223.03 บาท และขาดทุนสุทธิ 1,692,400.81 บาท ลดลง 55.77% จากปี 2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 3,826,573.36 บาท

4. บริษัท บริทิช ดิสเพนซารี่ เฮลท์แคร์ จำกัด มีรายได้รวมอยู่ที่ 188,400,335.27 บาท เพิ่มขึ้น 11.85% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 168,426,538.04 บาท และมีกำไรสุทธิ 10,543,166.50 บาท ลดลง 20.13% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 13,201,033.48 บาท

5. บริษัท บริทิช ดิสเพนซารี่ คอนซูมเมอร์ จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวมอยู่ที่ 333,641,309 บาท ลดลง 7.48% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 360,639,414 บาท และมีกำไรสุทธิ 19,216,483 บาท จากปี 2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 4,132,158 บาท

จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ ‘ตรางู’ นอกจากจะเป็นแบรนด์ระดับ ‘ตำนาน’ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2435 และยังคงดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานถึง 131 ปีแล้ว ยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความมั่นคงในแง่ของการทำธุรกิจและการรักษาผลประกอบการให้ยังคงอยู่ในระดับที่ดีนั้น มาจากการไม่หยุดคิดค้นและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ผลิตภัณฑ์เลือนหายไปตามกาลเวลาจนเหลือแค่ชื่อหรือภาพจำให้นึกถึงเท่านั้น ทำให้ ‘ตรางู’ สามารถก้าวผ่านการเป็นแค่ ‘ตำนาน’ สู่การเป็นปัจจุบันและอนาคตของผู้บริโภคเสมอมา

ที่มา : britishdispensary, Wikipedia, datawarehouse

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/

.

#Businessplus #TheBusinessplus #นิตยสารBusinessplus #ตรางู #แป้งเย็นตรางู #แป้งเย็น #แป้งเย็นเจ้าแรกของโลก #ตำนาน #แบรนด์ไทย #แบรนด์ไทยระดับตำนาน #แบรนด์ระดับตำนาน