Skincare

มูลค่าตลาด “สกินแคร์” ไทย 4 ปีข้างหน้า แตะ 1.6 แสนลบ. “ครีมกันแดด” โตสุด Vaseline ครองส่วนแบ่ง 32%

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย (Beauty & Personal Care) แล้วนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันมีการแข่งขันทางการตลาดที่ค่อนข้างสูง ทั้งจากผู้เล่นรายเก่าและผู้เล่นรายใหม่ที่มีการวางกลยุทธ์ เพื่อใช้เป็นแรงขับเคลื่อนในการที่จะขึ้นเป็นเจ้าตลาดและครองใจผู้บริโภค ซึ่งจากผลสำรวจภาพรวมอุตสาหกรรมความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายในตลาดโลก มีแนวโน้มเติบโตมากกว่า 50% และจะมีรายได้มากถึง 131,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2569 หรือคิดเป็นเงินไทยราว 4.5 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้จากผลสำรวจของ TNP COSMECEUTICAL ระบุว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทยมีขนาดใหญ่และเติบโตขึ้น 5% มูลค่าสูงกว่า 1.4 แสนล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซึ่งในปี 2570 คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.6 แสนล้านบาท โดยครีมกันแดดจะมีการเติบโตมากที่สุด

ซึ่งในปี 2565 ตลาดผลิตภัณฑ์กันแดดในประเทศไทยมีมูลค่ารวม 9.45 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 18.4% โดยแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์กันแดด 3.24 พันล้านบาท และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มี SPF อยู่ที่ 6.20 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากแสงแดด

สำหรับพาร์ทนี้จะเป็นเรื่องของ ‘ครีมกันแดด’ ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ โดยอุณหภูมิมีแนวโน้มแตะระดับ 41 องศา  รวมทั้งยังมีมลภาวะของฝุ่น PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบได้ว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ เข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของการทำลายชั้นผิวหนัง

ซึ่งแสงแดดที่ส่องลงมาบนพื้นโลกนั้นประกอบด้วยคลื่นแสงมากมาย แต่ที่มีผลกระทบกับผัวหนังมนุษย์มากที่สุดคือ รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet ray, UV) มีปริมาณร้อยละ 10 ในแสงแดด แบ่งเป็นรังสี อัลตราไวโอเลตชนิด A (UVA) ที่ 9.5% และรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด B (UVB) ที่ 0.5%

โดยรังสี UVA มีความสามารถทะลุทะลวงและทำลายผิวหนัง ทำให้ผิวแก่ ผิวหนังหนา หยาบกร้าน และมีสีคล้ำขึ้น (tanning) ขณะที่รังสี UVB จะทำให้เกิดอาการผิวหนังร้อนแดง (erythema) หรือเกิดอาการที่เรียกว่าถูกแดดเผา (sun-burn) ทำให้ปวดแสบปวดร้อน นอกจากนี้รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนังได้ ส่วน PM 2.5 ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบทางผิวหนัง อาทิ มีอาการระคายเคือง มีผื่นคันขึ้นตามตัว รวมถึงทำร้ายเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวอ่อนแอ เหี่ยวย่นง่าย

ปัจจุบันแบรนด์ต่าง ๆ จึงได้มีการพัฒนา คิดค้นสูตรใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หันมาสนใจดูแลตัวเอง โดย ‘Business+’ จะพามาเจาะแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคจากอดีตจนถึงปัจจุบัน  ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นการคัดเลือกจากผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่าย, ได้รับความนิยม รวมถึงได้รับรางวัลจากนิตยาสารชั้นนำ อย่าง CLEO, Vogue

เริ่มต้นจากแบรนด์แรก ยูนิลีเวอร์ (Unilever) บริษัทสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี 2472 ซึ่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายใต้แบรนด์ “วาสลีน (Vaseline)” นั้นเป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยบางตัวมีสารป้องกันแสงแดด และบางตัวอาจจะมี SPF หรือบางตัวอาจจะมียูวีฟิลเตอร์ (UV Filter ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB) จึงนับเป็นแบรนด์ต้น ๆ ที่ผู้บริโภคเลือกหยิบใช้ ซึ่งในปี 2565 นั้นวาสลีนมีมีส่วนแบ่งการตลาดในไทยที่ 31.6% ของตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายมูลค่า 8.95 พันล้านบาท

ทั้งนี้ยูนิลีเวอร์เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลกด้านผลิตภัณฑ์ความงามและการดูแลส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม มียอดขายในกว่า 190 ประเทศและเข้าถึงผู้บริโภค 3.4 พันล้านคนต่อวัน สร้างยอดขายได้ 52.4 พันล้านยูโรในปี 2564

ขณะที่ “Biore (บิโอเร)” แบรนด์ชั้นนำสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี 2507 ใช้นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและสามารถตอบโจทย์ได้ทุกสภาพผิวมามัดใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้มีการพัฒนาสูตรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งในเรื่องของการป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB รวมทั้งฝุ่น ควัน มลภาวะต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายผิว การันตีได้จากยอดขายรวมสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 1.55 พันล้านเยน โดยธุรกิจการดูแลสุขภาพและความงามโต 23.8%

ด้าน “นีเวีย (NIVEA)” แบรนด์สกินแคร์สัญชาติเยอรมัน อยู่ภายใต้บริษัท “Beiersdorf AG Germany” ซึ่งวางขายครั้งแรกในปี 2545 นับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลกที่ครองใจคนไทยมากว่า 30 ปี โดยแบรนด์ได้การพัฒนา คิดค้น วิจัย เพื่อหวังที่จะครองตลาดสกินแคร์ ทั้งนี้จากผลประกอบการในปี 2565 บริษัทมีรายได้สุทธิ 755 ล้านบาท

โดยจากข้อมูลข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมสกินแคร์นั้นมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เพียงแค่ต้องทำการตลาดให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องมาดูกันว่าจะมีผู้เล่นรายใหม่ หรือผู้เล่นรายใดจะเข้ามาหารส่วนแบ่งตลาดนี้

ที่มา : kao, Google Finance, บ้านเมือง, Unilever ประเทศไทย, MGR Online, VANILLA, ทีเอ็นพี โออีเอ็ม, Sanook, ไทยรัฐ

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #ครีมกันแดด #ฤดูร้อน #ฝุ่นPM2.5 #สกินแคร์