จับตาเกมการแข่งขันตลาดสมาร์ทโฟนครึ่งปีหลัง Apple เตรียมส่ง iPhone 11 หลังรายได้หด และอันดับร่วงต่ำสุดตั้งแต่เปิดตัว…
highlight
- แอปเปิลจบไตรมาสแรกของปี ส่วนแบ่งตลาดลดลงกว่า 2.7% (YoY) โดยครองส่วนแบ่งได้เพียง 12.8% และมีอัตราการเติบโตประจำปีกลับมาอยู่ที่ -23.2% และในปีนี้ก็ถูก หัวเว่ย ที่ทำตลาดอย่างหนัก จนแซงกลายเป้นแบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับสอง
- โดยในการเปิดตัวคืนนี้ คาดกันว่าทางแอปเปิล โดยเป็น ไอโฟน รุ่นโปร 2 รุ่น ซึ่งจะมาแทนที่ ไอโฟน XS และ ไอโฟน XS MAX และ ไอโฟน 11 MAX ตามลำดับ ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะมาแทนที่ ไอโฟน XR โดยจะใช้ชื่อว่า ไอโฟน 11R
- สำหรับข้อมูลล่าสุดที่มีการคาดเดา จะเปิดราคาเริ่มต้นและสเปคไอโฟน 11, 11 Pro และ 11 Max โดย ไอโฟน XI จะมีราคาเริ่มต้นที่ 22,900 บาท ไอโฟน XI Pro ราคาเริ่มต้นที่ 31,900 บาท และไอโฟน XI Max ราคาเริ่มต้นที่ 34,069
Why is the iPhone not as popular in the past?
ก่อนที่จะถึงการเปิดตัวสมาร์ทโฟน 3 รุ่นใหม่เที่ยงคืนวันนี้ (10 กันยายน 2562) ต้องขอตั้งคำถามกันก่อนว่า หากคุณจะซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ “ไอโฟน” (iPhone) ยังคงเป็นตัวเลือกแรกอยู่หรือไม่? เชื่อว่าหากถามคำถามนี้ในช่วง 10 ปีก่อน คงตอบได้ไม่ยากเท่าไร
แต่สถานการณ์ในปัจจุบันคงต้องตอบไปอีกทาง เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น รวมไปถึงการเกิดขึ้นของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android OS) ทำให้เกิดผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแบรนด์ใหม่ขึ้น ๆ อย่างมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้งานมากกว่า แค่เพียง “ไอโฟน” เท่านั้น
แต่นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมดที่ส่งผลทำให้แบรนด์ แอปเปิล (Apple) ในฐานะผู้ผลิตสมาร์ทโฟน มาถึงจุดที่ความนิยมตกต่ำลงอย่างมาก เพราะหากมองในความเป็นจริง เรากำลังอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีหรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนสมาร์ทโฟน ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก ทำให้ยอดจำหนายสมาร์ทโฟนทั่วโลก ไม่ได้เติบโตสดใสอย่างเช่นในอดีต โดยหากพิจาณาจากตัวเลขการเติบโตของสมาร์ทโฟนทั่วโลก ที่ทางบริษัทวิเคราะห์ตลาดที่มีชื่อเสียงในระดับโลกอย่าง Canalys ได้ออกมาเปิดเผย
เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จะพบว่าในไตรมาสแรกของปี 62 แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก 5 อันดับแรกอย่าง ซัมซุง (Samsung) หัวเว่ย (Huawai) แอปเปิล (Apple) เสี่ยวมี่ (Xiaomi) อ็อปโป้ (Oppo) มีส่วนแบ่งตลาด (Market share) ลดลง หรือเพิ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยแบรนด์ ซัมซุง แม้ว่าจะยังมีส่วนแบ่งการตลาดที่มากที่สุด แต่สัดส่วนลดลงกว่า 0.8% (YoY) โดยครองส่วนแบ่งเพียง 22.8% ขณะที่อัตราการเติบโตประจำปี (Annual growth) อยู่ที่ -10.0% เท่านั้น
ขณะที่ แอปเปิล แบรนด์ที่เคยครองส่วนแบ่งในตลาดมาอย่างยาวนาน หลังถูกซัมซุงแซงขึ้นไป ก็ยังไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดกลับคืนไปได้ ซึ่งเมื่อจบไตรมาสแรกของปี ส่วนแบ่งตลาดก็ลดกว่า 2.7% (YoY) โดยครองส่วนแบ่งได้เพียง 12.8% และมีอัตราการเติบโตประจำปีกลับอยู่ที่ -23.2%
และในปีนี้ก็ถูก หัวเว่ย ที่ทำตลาดอย่างหนักจนแซงกลายเป้นแบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับสอง โดยมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นถึง 7.1% (YoY) โดยครองส่วนแบ่งเพียง 18.8% ขณะที่อัตราการเติบโตประจำปี +50.2% เลยทีเดียว
ขณะที่แบรนด์จีนอย่าง เสี่ยวมี่ และอ็อปโป้ แม้ว่าจะไม่ครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมาก แต่ก็เพิ่มอย่างมีนัยยะ โดย เสี่ยวมี่ สามารถครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 0.5% (YoY) โดยมีอัตราการเติบโตประจำปีอยู่ที่ -1.3%
ด้านอ็อปโป้ ก็สามารถครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นถึง 1.1% (YoY) และมีอัตราการเติบโตประจำปี +5.4% ขณะที่ แบรนด์อื่น ๆ รวมแล้วกลับมีสัดส่วนที่ลดลง โดยลงลงถึง 5.2% (YoY) และมีอัตราการเติบโตประจำปีรวม -21.3% เท่านั้น
หากพิจารณาปัจจัยแวดล้อมถึงสาเหตุที่ทำยอดขายของสมาร์ทโฟนไม่ดีเท่าอดีต ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะการเกิดขึ้นของนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถทำหน้าที่แทนสมาร์ทโฟนได้ อาทิ นาฬิกา (Wearable devices) ต่าง ๆ หรือ โทรทัศน์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อดูรายการโปรดผ่านทางแอปต่าง ๆ เป็นต้น
เช่นในกรณีที่ทาง ซัมซุง ออกมาประกาศชัดเจนว่า ได้พัฒนาให้ iTunes และ AirPlay2 ไปไว้ในสมาร์ททีวีของตนเอง เพื่อทำให้ผู้ใช้ ซัมซุงสมาร์ททีวี สามารถเข้าดูหนังหรือรายการทีวีต่าง ๆ ผ่านทาง iTunes หรือส่งภาพ วิดีโอ หรือเนื้อหา ขึ้นไปแสดงบน ซัมซุงสมาร์ททีวี ผ่าน AirPlay ได้
แต่ก็มีข้อสงสัยอยู่ว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นเหตุผลที่ส่งผลทำให้ไอโฟนดิ่งลงอย่างรวดเร็วหรือไม่ ก็คงต้องตอบว่า ไม่ถูกต้องไปทั้งหมดทีเดียว เมื่อลองต้องสืบตามโซเชียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ ก็พบประเด็นที่ถกเถียงกันมาก ไม่ว่าจะเป็น
Apple เดินเกม “ราคา” ผิด? แล้ว iPhone 11 ?
เรื่องนี้ในสังคมโซเชียลถือเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยส่วนหนึ่งเห็นว่าสมาร์ทโฟนอย่างไอโฟนนั้นมีระบบปฏิบัติการที่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้ดีมากพอถึงขนาดที่จะต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้ใช้งาน เมื่อเทียบกับสิ่งที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์ทำได้
ย้อนกลับไปดูกันซักนิดว่าทำไมประเด็นดังกล่าวนี้ ถึงกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คถกเถียงกัน แม้ว่าจะยังผู้ใช้บางส่วนยินดีจะจ่ายเงินเพื่อใช้งาน แต่เมื่อเทียบกับฟีเจอร์การใช้งานที่คู่แข่งมีไม่ต่างกันมาก ทำให้เกิดคำถามว่า “คุ้มค่าหรือไม่”
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัญหาที่ แอปเปิ้ล พยายามแก้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล้องที่มีคุณภาพด้อยกว่าแบรนด์คู่แข่ง หรือแบตเตอรรี่ที่หมดไวกว่า แม้ว่าทาง ทิโมธี โดนัลด์ คุก หรือ ทิมคุก (Tim Cook) ซีอีโอแอปเปิล ให้สัมภาษณ์ว่า
“ที่แอปเปิ้ลขายสินค้าราคาแพงเนื่องจากไอโฟน เป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม และมีคุณค่าสูงมาก ซึ่งแอปเปิลพบว่า คนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนมากพอที่จะทำสินค้าขายให้”
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจลูกค้าในกลุ่มอื่น เพราะเราได้ปรับราคาไอโฟน 7 และ 8 ลงเพื่อให้แฟน ๆ แอปเปิล ได้ใช้งาน แต่สิ่งที่ ทิมคุก กล่าวไว้ในตอนเปิดตัว ไอโฟน Xs, Xs Max และ XR ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
เพราะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้คู่แข่งในตลาด ใช้ช่องว่างในเรื่องของราคามาสร้างเครื่องรุ่นใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นกระแสความนิยมในการถ่ายภาพ และแชร์ในสังคมโซเชียล หรือการดีไซน์ตัวเครื่องที่โฉบเฉียว มีสีสันมากกว่า
และหากพิจารณาจากประเด็นในเรื่องของพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในสมาร์ทโฟน จากที่เคยกลายเป็นจุดแข็ง วันนี้กลายเป็นจุดอ่อนของแอปเปิลไปแล้ว เนื่องจากพัฒนาได้ช้ากว่าความต้องการของตลาด อีกทั้งยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากพอจากรุ่นเก่า
และสิ่งที่นี้กลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือมากหลังเมื่อช่วงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Fast Company ได้ประกาศ 50 อันดับบริษัทสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2019 ซึ่งปรากฏว่าแอปเปิลตกลงมาอยู่อันดับที่ 17 จากที่เคยเป็นอันดับ 1 ในปี 2018
โดยการวัดผลนี้เกิดมาจากการประเมินในรุ่นของไอโฟน XS ที่ไม่ค่อยมีความโดดเด่นนัก แต่สิ่งที่ทำให้แอปเปิลยังคงสามารถติดอยู่ใน Top 50 ได้ นั้นก็คือชิป A12 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าแบรนด์อื่น ๆ เท่านั้นเอง
ซึ่งจากจุดนี้เองทำให้ในช่วงระหว่างที่แอปเปิลกำลังพัฒนาไอโฟนรุ่นใหม่ (ทีกำลังจะเปิดตัวในคืนนี้) กลายเป็นช่วงเวลาที่คู่แข่งได้โอกาสปล่อยเครื่องลงสู่ตลาดกันเป็นว่าเล่น แถมมีประสิทธิภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ง่ายมากกว่า
อีกทั้งยังสามารถปรับราคาลงมาได้เร็วกว่าในเว็บ “อี-คอมเมิร์ซ” (E-Commerce) จึงทำให้ผู้ที่มีกำลังซื้อน้อย ปันใจไปหาแบรนด์เหล่านี้ได้ง่าย
สงครามการค้า จีน-สหรัฐ Effect ที่รุนแรงมากกว่าที่คิด
ประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องมาจากกรณีคดีฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตร ระหว่างบริษัท แอปเปิล กับบริษัท Qualcomm ของสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้ถือว่าสร้างปัญหาอย่างมากให้แก่การทำตลาดของไอโฟนในประเทศจีน
เพราะศาลจีนได้มีคำสั่งแบนห้ามจำหน่ายและนำเข้าสมาร์ทโฟนของค่ายผู้ผลิตชื่อดังในโมเดล ไอโฟน รุ่น 6s จนถึง ไอโฟน X ซึ่งแม้ว่าแอปเปิลจะหาทางแก้ไขคำสั่งแบนได้ทันที โดยปรับใช้ระบบปฏิบัติ iOS 12 ซึ่งไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรที่มีปัญหาแล้วก็ตาม
แต่ก็ทำให้แอปเปิลต้องสูญเงินหลายล้านดอลลาร์ต่อวัน และส่งผลกระทบต่อรัฐบาลจีนด้วยเช่นกัน เพราะสูญเสียรายได้จากภาษีหลายแสนรายการที่ได้จากโรงงานผลิตอะไหล่ของไอโฟนมากมายที่อยู่ในประเทศจีน
แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยลงไปทันที เมื่อเกิดกรณีของ “สงครามทางค้า จีน-สหรัฐ” ซึ่งทำให้เกิดกระแสการต่อต้านแบรนด์สินค้าจากสหรัฐฯ ในประเทศจีน หลังจากสหรัฐฯ กล่าวหา Huawei ว่าใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมเพื่อสอดแนม
ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนเลือกที่จะใช้แบรนด์ภายในประเทศมากกว่า อย่าง Huawai, Xiaomi และ Oppo แทนที่จะใช้ไอโฟน ซึ่งล่าสุด แอปเปิลได้เผยสถิติการประกอบการปี 2018 ว่า แอปเปิลมีรายรับจากการขายสินค้าในจีน (รวมฮ่องกง และไต้หวัน) ลดลงมากกว่า 27%
ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับยอดขายในภูมิภาคยุโรปที่ลดลงประมาณ 3% ซึ่งยอดขายในจีนที่ลดลง ทำให้ยอดขายสมาร์ทโฟนโดยรวมลดลงร้อยละ 12-15.5% เลยทีเดียว นี่อาจถือว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากกว่าคิด
นั่นก็เพราะว่าประเทศจีน ถือเป็น “ตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดของแอปเปิล” ซึ่งวัดจากไตรมาสล่าสุดของพวกเขา ยอดขายในประเทศจีนนั้นมีตัวเลขที่สูงถึง 17% จากยอดขายทั้งหมด
อย่างไรก็ดีคงตามดูว่าหลังที่ แอปเปิล จะเปิดตัว ไอโฟน 11 วันนี้เวลา 5 ทุ่มครึ่ง (*กดติดตามรับชมได้ที่ลิงค์) แอปเปิลจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ และจะสามารถกลับมาดีขึ้น หรือจะก้าวถอยหลังแบบกู่ไม่กลับ
โดยในการเปิดตัวคืนนี้ คาดกันว่าทางแอปเปิล โดยเป็น ไอโฟน รุ่นโปร 2 รุ่น ซึ่งจะมาแทนที่ ไอโฟน XS และ ไอโฟน XS MAX และ ไอโฟน 11 MAX ตามลำดับ ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะมาแทนที่ ไอโฟน XR โดยจะใช้ชื่อว่า ไอโฟน 11R
สำหรับข้อมูลล่าสุดที่มีการคาดเดา จะเปิดราคาเริ่มต้นและสเปคไอโฟน 11, 11 Pro และ 11 Max โดย ไอโฟน XI จะมีราคาเริ่มต้นที่ 22,900 บาท ไอโฟน XI Pro ราคาเริ่มต้นที่ 31,900 บาท และไอโฟน XI Max ราคาเริ่มต้นที่ 34,069
และคาดว่าจะมีความพิเศษที่เพิ่มมา ได้แก่ ใช้ชิป A13, Ram เริ่มต้นที่ 4GB, มีกล้องหลัง 3 ตัว ขนาด 12 MP เท่ากันหมด ใช้ Face Unlock จะเร็วขึ้นถึง 30% สามารถลงชื่อเข้าใช้ Apple ID ผ่าน Face Recognition
และเพิ่มแบตเตอรรี่ขนาดใหญ่มากขึ้นในแต่ละรุ่น และรองรับการชาร์จไร้สาย ด้านสายชาร์ตอาจเปลี่ยนเป็น USB-C และรองรับเทคโนโลยี 5G และใช้หน้าจอแบบ OLED
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่