ไอดีซี (IDC) เผย เทรนด์รักสุขภาพมาแรง ส่งตลาด Smart Watch โต 55.2% ฟิตบิท (fitbit) สบช่องเทรนด์รักสุขภาพบูม ปล่อยสมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียม “Versa 2” ที่ฉลาดล้ำด้วยฟังก์ชันสำหรับการออกกำลังกายที่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 5 วัน…
highlight
- ตลาดอุปกรณ์ส่วมใส เติบโตเพิ่มขึ้น 31.4% ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2018 (ไตรมาส 4) ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นสูงถึง 59.3 ล้านยูนิคทั่วโลก
- สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) เติบโตเพิ่มขึ้น 55.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/17 และคิดเป็น 34.3% ของตลาดโดยรวม
- ปัจจัยหนุน 3 ด้าน ได้แก่ การรักษาสุขภาพ จำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันจากแบรนด์เก่า-ใหม่ และเข้ามาลงทุนข้ามอุตสาหกรรมของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ในอุตสาหกรรม Healthcare
- ฟิตบิท เปิดตัว Versa 2 สมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียม สั่งงานได้จากเสียงสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ที่มาพร้อมด้วยฟีเจอร์สำหรับสุขภาพและการออกกำลังกายล้ำสมัย สะดวกด้วยการใช้งานได้นานกว่า 5 วัน เพื่อติดตามการแสดงผลที่แม่นยำตลอดวันและคืน
เทรนด์รักสุขภาพหนุน Smart Watch พุ่ง
ไอดีซี (IDC) เผยผลสำรวจตลาดอุปกรณ์ส่วมใส เติบโตเพิ่มขึ้น 31.4% ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2018 (ไตรมาส 4) ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นสูงถึง 59.3 ล้านยูนิคทั่วโลก โดยได้แรงหนุนจาก การเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ ๆ และการเปิดตัวเครื่องแต่งตัวใหม่ในช่วงเทศกาลวันหยุด
ซึ่งส่งผลทำให้ผู้บริโภคแสวงหาอุปกรณ์ที่เหมาะกับเสื้อผ้าของตน ทำให้ตลอดทั้งปี 2018 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นกว่า 27.5% และมีการจำหน่ายเพื่อเสริมแฟชั่นในตลาดแล้ว 172.2 ล้านเครื่อง และครองตลาดได้เกือบ 1 ใน 4 ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา
โดย สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) เติบโตเพิ่มขึ้น 55.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/17 และคิดเป็น 34.3% ของตลาดโดยรวม ซึ่งจากสถาการณ์ที่เป็น ทำให้คาดว่าในอนาคตอันใกล้ ตลาดดังกล่าวจะกลายเป็นสมรภูมิที่แข่งขันกันดุเดือดมากที่สุดตลาดหนึ่ง
ซึ่งปัจจุบันแบรนด์จาก Top 5 ที่ยังสวนแบ่งตลาดสมาร์ทวอทช์มากที่สุด ยังคงเป็น Apple ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 26.8% แต่เพิ่ม 2.3% จากที่ในปี 2017 มีสัดส่วนอยู่ที่ 24.5% ขณะที่เมื่อเทียบ ปีต่อปี (YoY) โตเพียง 39.5%
โดยอันดับที่สองคือ Xiaomi ที่สามารถสร้างส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก 1.6% เป็น 13.5% จากที่ปีก่อนอยู่ที่ 11.9% แต่เมื่อเทียบ YoY กลับโตมากถึง 44.6% ด้าน Fitbit นั้นเติบโตเพียง 8.0% จากที่ในปีก่อนอยู่ที่ 11.4% เมื่อเทียบ YoY นั้น -10.0% แต่สถานการณ์เริ่มกลับมาดีขึ้นในปัจจุบัน
ขณะที่อันดับสี่ Huawei เองก็เป็นอีกแบรนด์ที่เติบโตเท่าตัว โดยภายสิ้นปี 2018 ที่ผ่านมาสามารถเติบโตได้กว่า 6.6% จากที่ในปีก่อนอยู่ที่ 3.4% ขณะที่เมื่อเทียบ YoY โตมากถึง 147.3%
และอันดับที่ห้า ได้แก่ Samsung (6.2%) และแบรนด์อื่น ๆ รวมกัน อยู่ที่ 38.8% โดยคาดว่ายอดของอุปกรณ์ส่วมใส่ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยสะสมถึง 11.6% ต่อปี จาก 123 ล้านชิ้นในปี 2018 เป็น 190 ล้านชิ้นในปี 2022
สำหรับตลาดประเทศไทย จากการสำรวจแนวโน้มการใช้งานอุปกรณ์ส่วมใส่โดย EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ในช่วง 3 ปี ยอดขายของสมาร์ทวอทช์ในประเทศไทยเติบโตโดยเฉลี่ย 23% ต่อปี
โดยมีปัจจัยหนุน 3 ด้าน ได้แก่ การรักษาสุขภาพ จำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันจากแบรนด์เก่า-ใหม่ และเข้ามาลงทุนข้ามอุตสาหกรรมของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ในอุตสาหกรรม Healthcare
นอกจากนี้ยังการเกิดขึ้นของกระแสการใช้ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ในภาคการรักษาสุขภาพ ที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในการส่วมใส่ติดตามตัวเพื่อเก็บข้อมูลมาปรับปรุงกระบวนการรักษา ซึ่งจะช่วยส่งให้เกิดกระบวนแข่งขันในตลาดอุปกรณ์ส่วมใส่มากขึ้น
ฟิตบิท (fitbit) สบโอกาสตลาดสุขภาพไทยมาแรง
ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดของ Fitbit พบว่า 2 ใน 3 หรือราว 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการนอนเป็นอันดับแรก ทว่า 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันกลับรู้สึกว่า ตนเองพักผ่อนไม่เพียงพออยู่เป็นประจำ
ดังนั้น Fitbit จึงได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่ติ
คุณสมบัติด้านการพักผ่อน 4 ด้าน
- Sleep Score: ผู้ใช้สามารถดูคะแนนด้านการนอนหลับได้ในแอปพลิเคชัน Fitbit เพื่อดูข้อมูลด้านคุณภาพการนอนของตนเอง โดยคะแนนเหล่านี้จะมาจากการติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ (ระดับการพักผ่อนและนอนหลับ) ความกระสับกระส่ายในช่วงเวลานอน เวลาที่ตื่นและระดับการนอนหลับ หรือ Sleep Stage และหากต้องการดูรายละเอียดเรื่อง Sleep Score ที่มากขึ้น ผู้ใช้ยังสามารถดูได้จากการอัปเกรดสมาชิกเป็น Fitbit Premium.
- Smart wake: จะสามารถใช้งานได้บนสมาร์ทวอทช์ทุกรุ่นเร็ว ๆ นี้ โดยฟีเจอร์ Smart Wake นี้ จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการปลุกคุณให้ตื่นเมื่อถึงเวลาตื่นที่เหมาะสม เมื่ออยู่ในช่วง Light หรือ REM ของการนอนหลับ โดยจะปลุกจากการตั้งค่าและจะเว้นช่วงครั้งละ 30 นาที เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นได้
- Sleep Mode: เมื่อตั้งการใช้งานในโหมดนี้ เครื่องจะหยุดการทำงานของการแสดงค่าบนหน้าจอ และปรับการตั้งค่าเตือนให้อยู่ในโหมดเงียบ เพื่อให้ผู้ใช้ไม่ถูกรบกวนตลอดคืน Sleep Mode ยังสามารถใช้งานได้ ทุก ๆ ครั้งที่ผู้ใช้ไม่ต้องการการรบกวน เช่น เมื่อกำลังประชุมหรือออกกำลังกาย
- Estimated Oxygen Variation Graph: อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะสามารถให้บริการได้ในเร็ว ๆ นี้ เป็นกราฟแสดงผลที่ช่วยให้ผู้ใช้เห็นระดับอ็อกซิเจนในเลือดของตนเอง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะถูกวัดด้วยเซ็นเซอร์เรดและอินฟราเรดที่อยู่ด้านหลังของเครื่อง การรู้ค่าอ็อกซิเจนในเลือดในระยะสั้น จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเรื่องการหายใจขณะนอนหลับได้มากขึ้น
Fitbit Versa 2 สมาร์ทวอทช์อัจริยะ ที่มาพร้อมการสั่งงานด้วยเสียง
ทาง Fitbit ได้เปิดเผยว่าใน Versa 2 ได้ถูกพัฒนาให้สามารถรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่านระบบ Software ควบคุมด้วยเสียง (Voice Control System) หรือ “อเมซอน อเล็กซ่า” (amazon alexa) ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาโดย Amazon ให้สามารถโต้ตอบกลับคำสั่งได้อีกด้วย เช่น การสั่งให้ใช้งาน Fitbit Exercise จากข้อมือ
ให้ค้นหาสถานที่ออกกำลังกายที่
สมาร์ทฟีเจอร์เพื่อประสบการณ์ที่ดีกว่า
- เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตระหว่างวัน ด้วยระบบการชำระเงินผ่าน Fitbit Pay โดยไม่ใช้กระเป๋าเงิน
- กันน้ำได้ในความลึกถึง 50 เมตร มีน้ำหนักเบา และให้ความรู้สึกสบายต่อผู้สวมใส่
ราคาและการวางจำหน่าย
Versa 2 มาใน สี Black กรอบคาร์บอน สี Petal พร้อมกรอบอลูมิเนียมสี Copper Rose และ สี Stone พร้อมกรอบสี Mist Grey โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 7,990 บาท ตัวอุปกรณ์มีราคาตั้งแต่ 960 บาท ถึง 3,200 บาท และ Versa 2 Special Edition สี Navy และ Pink พร้อม กรอบอลูมิเนียมสี Copper Rose และ สี Smoke พร้อมกรอบสี Mist Grey ราคา 8,990 บาท
Versa 2 รุ่น Exclusive Edition สี Emerald และ Plum พร้อมกรอบสี Copper Rose วางจำหน่าย ช่วงปลายเดือนกันยายน 2562 ในตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าชั้นนำ อาทิ B2S, Dotlife, King Power, Power Buy, Jaymart, Lazada ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศูนย์การค้าโรบินสัน และ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ทุกสาขา
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่