3 จุดแข็ง ‘ฟู้ด พอร์ต’ สู่ Professional Food Supplier

ความรู้และความเชี่ยวชาญในการจัดหาวัตถุดิบได้ตรงตามมาตรฐานทั่วโลก รวมไปถึงการสร้าง Commitment ที่น่าเชื่อถือกับคู่ค้า ทำให้ ‘ฟู้ด พอร์ต’ สามารถดึงดูดพาร์ตเนอร์ระดับโกลบอล รวมไปถึงบริษัทชั้นนำให้ความสนใจที่จะเปิดรับบริษัทฯ แห่งนี้มาอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ‘ฟู้ด พอร์ต’ เติบโตได้อย่างมั่นคง และกลายเป็น Professional Food Supplier

บริษัท ฟู้ด พอร์ต จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ที่ทำธุรกิจเทรดเดอร์ (Trader) จัดหาวัตถุดิบเกี่ยวกับประเภทสินค้าเกษตร ซึ่งมีสินค้าหลักคือ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารทะเล รวมถึงผักและผลไม้ ให้กับโรงงาน เพื่อนำไปแปรรูปหรือส่งออกเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ซึ่งฟู้ด พอร์ต ถือเป็นซัพพลายเออร์ (Supplier) ที่มีพันธมิตรรายใหญ่ระดับโกลบอลอยู่หลายเจ้า

โดย คุณฉัตรวงศ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ด พอร์ต จำกัด กล่าวกับ ‘Business+’ ถึงภาพรวมผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของฟู้ด พอร์ต มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในช่วงสถานการณ์ COVID-19 รายได้ยอดขายมีการเติบโตถึง 200% เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าบริโภค และถึงแม้สถานการณ์จะติดขัดเพียงใด ฟู้ด พอร์ต ก็ให้การสนับสนุนช่วยเหลือคู่ค้าเต็มที่ อย่างเช่นในเรื่องของการจัดหาวัตถุดิบเพื่อให้กระบวนการผลิตสามารถดำเนินต่อไปได้ ด้วยพาร์ตเนอร์ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตอาหารแปรรูปเพื่อส่งออก

ซึ่งการดำเนินงานหลักของฟู้ด พอร์ต จะเป็นการรับเงื่อนไขมาจากคู่ค้า และทำหน้าที่จัดหาวัตถุดิบตามความต้องการ และตามมาตรฐานของคู่ค้า โดยความท้าทายคือ ลูกค้าระดับโกลบอลที่เป็นพาร์ตเนอร์จะเคร่งครัดในเรื่องการคัดสรรวัตถุดิบเป็นอย่างมาก เพราะการส่งออกไปทางกลุ่มแถบยุโรป อเมริกา จะมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ดังนั้นแหล่งที่มาของอาหาร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ จะต้องได้มาตรฐาน

“ปัจจุบันมีเงื่อนไขเกี่ยวกับความยั่งยืน (Sustainable) เข้ามาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาแหล่งที่มาของอาหารด้วย ซึ่งทำให้เราต้องจัดหาวัตถุดิบให้สอดคล้องกับโจทย์ที่ได้รับมา และปรับตัวหาข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ” คุณฉัตรวงศ์ บุนนาค

จุดแข็งดึงพาร์ตเนอร์ระดับโกลบอล

สำหรับจุดแข็งของฟู้ด พอร์ต ที่ทำให้ลูกค้าระดับโกลบอลเลือกเป็นพาร์ตเนอร์ คือ ในปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้มีการแข่งขันที่สูง และมีผู้เล่นจำนวนมาก โดย คุณฉัตรวงศ์ กล่าวว่า ฟู้ด พอร์ต ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่คู่ค้าในแง่ของการป้อนวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นบริษัทที่ให้การสนับสนุนในแง่ของข้อมูลด้านมาตรฐานใหม่ ๆ ให้กับคู่ค้าอีกด้วย

 

อีกหนึ่งจุดแข็งคือ การดำเนินการแบบครบวงจร (One Stop Service) โดย ฟู้ด พอร์ต มีบริการทั้งในด้านการประกันคุณภาพ หรือ QA (Quality Assurance), การตรวจสอบ และการควบคุมคุณภาพ หรือ QC (Quality Control), ระบบการจัดส่งสินค้า (Logistics) รวมถึงปัญหาทางด้านการเงินที่พร้อมช่วยซัพพอร์ตคู่ค้า อย่างเครดิตเทอม (Credit Term) ซึ่งถึงแม้ ฟู้ด พอร์ต จะเป็นเพียงธุรกิจเอสเอ็มอี แต่ก็ต้องการเข้าไปช่วยเหลือ เพิ่มความยืดหยุ่นกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของโรงงานใหญ่ ๆ ขณะเดียวกันคำมั่นสัญญา (Commitment) ก็มีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจซัพพลายเออร์ได้

 

“การที่บริษัทระดับโกลบอล หรือบริษัทชั้นนำหลายแห่งเลือกที่จะเป็นพาร์ตเนอร์กับเรา เพราะเราพร้อมที่จะช่วยซัพพอร์ตในทุกเรื่อง อย่างในเรื่องความยืดหยุ่นด้านเครดิต ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) ในการจัดหาวัตถุดิบที่ไม่ว่าจะยากเพียงใด ก็สามารถหามาให้ได้เนื่องจากเราลงพื้นที่จริงเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ตรงตามโจทย์ รวมถึงการยึดมั่น รักษา Commitment ที่ให้กับคู่ค้า นี่จึงทำให้คู่ค้ามีการต่อสัญญากับเราอยู่เสมอ” คุณฉัตรวงศ์ กล่าว

เป้าหมายสู่ความสำเร็จ

ในการประกอบธุรกิจ การมีแผนกลยุทธ์เพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้ โดย คุณฉัตรวงศ์ กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้น เป็นผลมาจากการการที่มีทั้งแพลนเอและแพลนบี หรือก็คือมีการสร้างสองบริษัทมาซัพพอร์ตกัน เพื่อช่วยส่งเสริมการดำเนินงานอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งการวางแผนแบบนี้ทำให้ ฟู้ด พอร์ต เติบโตอย่างมั่นคง

ล่าสุด ฟู้ด พอร์ต กำลังจะมีโปรเจกต์ร่วมกับบริษัทต่างชาติที่ถือเป็นผู้นำตลาดในทวีปยุโรป และประเทศเพื่อนบ้านของไทย ซึ่งการเจรจานี้เป็นทางฝ่ายบริษัทต่างชาติเข้ามาเสนอ โดยหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดีอาจจะเป็นแพลนซีให้กับ ฟู้ด พอร์ต ในอนาคตได้

อย่างไรก็ดี ฟู้ด พอร์ต ได้มีการตั้งเป้าหมายรายได้แตะระดับ 500 ล้านบาท เพื่อยกระดับขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น และขั้นถัดไปก็มีแผนจะเปิดบริษัทใหม่แต่ยังคงความเป็นเอสเอ็มอีไว้ ซึ่งฟู้ด พอร์ต พร้อมเดินหน้าพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อให้การเติบโตเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

“เราเป็นตัวเล็กที่อยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเรามีการเข้าอบรมพัฒนาตัวเองตลอดเพื่อให้เกิดการอัปสกิล อัปข้อมูล เนื่องจากบางครั้งข้อมูลที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ อย่างเช่น การเข้าอบรมจะทำให้เราได้เห็นถึงเทรนด์โลกและสามารถนำมาปรับใช้กับนโยบายบริษัทได้ แม้กระทั่งการอบรมด้านกฎหมายและสวัสดิการแรงงานนอกจากนี้ยังมีผลพลอยได้อย่างการสร้าง Connection เพิ่ม” คุณฉัตรวงศ์ กล่าว

การเรียนรู้ การเข้าใจ การใส่ใจ รวมถึงการพร้อมสนับสนุนในทุกเรื่องของ ‘ฟู้ด พอร์ต’ ทำให้สามารถดึงดูดพาร์ตเนอร์ระดับโกลบอล รวมถึงบริษัทต่างชาติอยากเป็นพันธมิตรด้วย ถึงแม้อุตสาหกรรมนี้จะมีขนาดใหญ่แต่จากความเป็น Professional Food Supplier ทำให้ ‘ฟู้ด พอร์ต’ เติบโตในธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง