เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ ต้นแบบ SMEs สายสุขภาพ

บันไดสู่ความสำเร็จของแบรนด์เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ ซึ่งเป็นต้นแบบ SMEs สายสุขภาพที่สั่งสมประสบการณ์กว่าทศวรรษ จนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและปัญหา และได้สร้าง S Curve สำเร็จแล้ว

จากจุดเริ่มในวันแรกที่ดำเนินธุรกิจค้าขายสินค้าในกลุ่มเคมีภัณฑ์มายาวนาน จนเกิดความอิ่มตัว ประกอบกับธุรกิจครอบครัวของสามีดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับภาคการเกษตรอยู่แล้ว โดยสิ่งที่มองเห็นคือ การที่พืชไร่ล้นตลาด ทั้งที่ยังมีคุณภาพที่ดี จึงเกิดไอเดียว่า หากสามารถยืดอายุของพืช-ผัก ให้เก็บไว้ได้นาน และยังคงคุณค่าสารอาหารสำคัญในพืช-ผักเหล่านั้นได้มากที่สุด 80-90% รวมถึงกากใยอาหารมิได้ถูกทำลายไป ก็น่าจะเกิดเป็นธุรกิจได้

จากจุดนี้ บจก. เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2554 จึงเกิดขึ้น ด้วยการจำลองวิธีการถนอมอาหารแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยคิดค้นเครื่องจักรสำหรับแปรรูปด้วยตนเอง และเริ่มสร้างเครื่องจักรขึ้น โดยทีมวิศวกรคนไทยจนสำเร็จ สามารถทำได้ตามโจทย์ที่ต้องการได้ จนได้สินค้าตัวแรกคือ ผักอัดเม็ดไบโอเวกกี้  “วิตามินรวมจากผักเมืองหนาว” นวัตกรรมแรกที่ใช้ผัก 5 สี จากผักสด 12 ชนิด บนพื้นที่สูงภายใต้การดูแลของมูลนิธิโครงการหลวง

คุณวิริยา พรทวีวัฒน์ ผู้บริหาร บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เล่าให้ฟังว่า เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ ดำเนินธุรกิจเข้าปีที่ 12 แล้ว สินค้ายังได้รับความนิยมในวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ สามารถตอบโจทย์ความเร่งรีบในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้รับประทานผักทุกมื้อด้วยวิธีง่าย ๆ  สะดวกในการพกพาเดินทาง และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ด้วยมาตรฐานการผลิตสากล GHP, HACCP และ Halal

ล่าสุด บริษัทฯ ยังได้เพิ่มไลน์นวัตกรรมการผลิตแบบแช่เยือกแข็งด้วยระบบพิเศษ เพื่อผลิตสินค้าน้ำมะนาวคั้นสด 100% แบรนด์ “มะนีมะนาว”  และน้ำพร้อมเนื้อแตงโม 100%  แบรนด์ “มะนีแตงโม” เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคาร จัดเลี้ยงของโรงแรม และคาเฟ่ สำหรับนำไปปรุงอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงไอศกรีม  ซึ่งผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก ตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดด

“การที่แบรนด์เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน โดยพืชที่รับซื้อจะต้องมีมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practice) เป็นอย่างน้อย ซึ่งแน่นอนว่า กระบวนการผลิตที่มีนวัตกรรมและมีงานวิจัยร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยี (NANOTEC) สวทช. ได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ทำให้สินค้ามีความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจทดลองใช้ หลังจากเกิดการรับรู้แล้ว ลูกค้ามีความเชื่อมั่นและเลือกใช้สินค้าตลอดมา

โดยที่เรากำหนดราคาขายที่เป็นธรรม ธุรกิจอาหารทุกระดับจับต้องได้ ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงกว่าสินค้าคู่แข่ง  แต่ความต่างอยู่ที่คุณภาพอย่างชัดเจน คุ้มค่า คุ้มราคาที่ต้องจ่าย แลกกับการได้รับความสะดวกสบายในการจัดการเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการวางจำหน่ายให้ทั่วถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันวางจำหน่ายที่ Makro, Foodland, Gourmet Market ทุกสาขาทั่วประเทศ” คุณวิริยา กล่าวพร้อมชี้ว่า

ประสบการณ์ในธุรกิจนี้ สอนให้มองออกว่า “การบริหารธุรกิจจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล  เพื่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์สูงสุด โดยเราต้องมีความเป็นธรรมต่อพนักงาน  ค่าแรง สวัสดิการ รางวัล การสันทนาการต่าง ๆ แม้กระทั่งความเป็นธรรมต่อคู่ค้า  คือ ต้องรับซื้อด้วยราคาที่เป็นธรรมและสูงกว่าราคาตลาด เพื่อให้เกษตรกรมีความสุขกับอาชีพและมีรายได้ที่ยั่งยืน  หรือแม้แต่ต้องมีความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค คือ การรักษาคุณภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ต่อมาคือ เรื่องการสร้างความต่างด้วยนวัตกรรมการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง  และงานวิจัยที่ยืนยันถึงคุณภาพสินค้า รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าเกิดความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันสินค้าเลียนแบบยาก  หรือแม้แต่การตั้งราคาที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่มอาชีพ ทุกระดับ เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดูแลสุขภาพ

ส่วนผลิตภัณฑ์มะนาว เน้นที่ราคาเดียวตลอดปี ทำให้ธุรกิจอาหารวางแผนการคิดต้นทุนได้ชัดเจน และที่สำคัญคือ การสื่อสารกับผู้บริโภคด้วยข้อมูลจริง ไม่บิดเบือน ไม่ over claim”

ทั้งหมดที่กล่าวคือ Key Success Factors ของแบรนด์เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ ที่ได้รับ Feedback จากลูกค้าและแบรนด์นำมา Actions ต่อ

คุณวิริยา บอกว่า บริษัทฯ มองอนาคตที่ไกลกว่านี้ โดยจะเน้นผลิตสินค้าคู่กับความยั่งยืน ผ่านการใช้นวัตกรรมทั้งด้านการผลิตและการออกแบบแนวทางผลิตภัณฑ์ โดยเบื้องต้นมีการวางแผน 3 มิติ คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการ เพื่อความแม่นยำในการดูแลพืช โดยใช้ระบบ Smart Farmer คำนวณเรื่องความชื้น ปริมาณน้ำฝน อากาศที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ Real Time จะช่วยให้แก้ปัญหาได้ทันเวลา

มิติต่อมา คือ ด้านการผลิต หมายความว่า ต้องพัฒนาสินค้ากลุ่มเพื่อสุขภาพ เช่น ผลิตจากข้าว และนำสิ่งที่เหลือจากการผลิต by product มาวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์ด้านเวชสำอาง ปุ๋ย และอาหารสัตว์ได้ เนื่องจากวัตถุดิบหลักเป็นพืชผลทางการเกษตร มีความผันผวนตามฤดูกาลที่มากขี้นทุกปี และในอนาคตจะมีอุปสรรคด้านการหาวัตถุดิบ  เราจึงวางแผนปลูกพืชเองให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการอย่างน้อย 50% ของปริมาณทั้งหมด โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการด้าน Smart Famer เฝ้าระวังและติดตามผลได้แบบ Real Time

และมิติสุดท้ายคือ ด้านการตลาด หมายความว่า เราต้องการเพิ่มยอดขาย โดยเราวางแผนขยายช่องทางการจำหน่ายในประเทศให้มากขึ้น  และจำหน่ายไปยังต่างประเทศมากขึ้น