5 ข้อที่ทำให้ ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ ผงาดขึ้นอันดับ 7 ของโลก

ประเทศอินเดีย มีประชากรราว 1,400 ล้านคน มีพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก ปัจจุบันเศรษฐกิจอินเดียจัดอยู่ในลำดับ 5 รองจากสหรัฐอเมริกา จีน เยอรมณี และญี่ปุ่น จากในปี 2565 อยู่ที่อันดับ 6 ของโลก ถือเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกมีความสนใจเข้าไปลงทุนทั้งในตลาดทุน สร้างฐานผลิตภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น จึงทำให้เศรษฐกิจอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จึงมีการคาดการณ์ว่าในปี 2570 อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และจีน โดยจากการเติบโตของเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงอุปสงค์ในประเทศ ทำให้อินเดียกลายเป็นที่น่าจับตามอง

ล่าสุดสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานโดยอ้างข้อมูลจาก World Federation of Exchanges ซึ่งระบุว่า ณ สิ้นเดือนพ.ย. มูลค่ารวมของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ที่ 3.989 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่ามูลค่ารวมของตลาดหุ้นฮ่องกง ณ สิ้นเดือนพ.ย.ซึ่งอยู่ที่ 3.984 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียกลายเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่อันดับที่ 7 ของโลก โดยในปีนี้นักลงทุนต่างชาติได้เข้าซื้อหุ้นสุทธิในตลาดหุ้นอินเดียเป็นมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กองทุนภายในประเทศเข้าซื้อกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับเศรษฐกิจอินเดียได้ขยายตัวแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สำหรับช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566-2567 ของอินเดีย ขยายตัว 7.6% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.8% และสูงกว่าที่ธนาคารกลางอินเดียประมาณการที่ระดับ 6.5%

จากข้างต้นทำให้ตลาดหุ้นอินเดียเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนโซนเอเชียแปซิฟิก และโซนอื่น ๆ เพราะเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตจากภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้จึงได้มีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียดีดตัวขึ้นและสามารถแซงฮ่องกง รวมทั้งยังสามารถจะทะยานต่อไปได้ พบ 5 ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

1.ประชากร : อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรเยอะ ทำให้กระบวนการทำงานตั้งแต่การผลิตไม่ติดขัดเพราะจำนวนคนเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา ส่งเสริมให้ประชากรมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อย่าง เทคโนโลยี ซึ่งเมื่อประชากรมีคุณภาพก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยจาก GDP ไตรมาส 3/2566 ได้แสดงให้เห็นว่ามีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มากที่ 7.6%

2.ผลตอบแทนของตลาดทุน : แม้ในปี 2565 ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน แต่ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.8% เป็นเพียงตลาดหุ้นไม่กี่ตลาดที่สามารถทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปี 2566 ตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนี Nifty 50 ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีอยู่ที่ระดับ 8% ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 ธ.ค.) ดัชนี Nifty 50 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ และปรับตัวขึ้นเกือบ 16% นับตั้งแต่ต้นปี 2566 โดยจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นอินเดียมีความแข็งแกร่ง และให้ผลตอบแทนที่ดีจึงทำให้สามารถดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกได้

3.การมีส่วนร่วมภายในประเทศ : จากการวิจัยของ HSBC พบว่า การมีส่วนร่วมภายในประเทศในตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการเติบโตสูง โดยแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่นักลงทุนในประเทศจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัว ซึ่งการที่คนในประเทศมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนเยอะยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพัฒนาการก้าวหน้าของคนในประเทศ

4.การปรับลด-คงอัตราดอกเบี้ย : ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (repo rate) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 6.5% ในการประชุมวันศุกร์ (8 ธ.ค.) ที่ผ่านมา และเป็นการคงดอกเบี้ยในการประชุม 5 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งการที่คงอัตราดอกเบี้ยหรือปรับลดลงนั้นมักจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น ซึ่งนักลงทุนก็จะมีการเข้ามาซื้อ-ขาย โดยไม่ถ่ายโอนเงินไม่ยังการลงทุนชนิดอื่น ๆ

5.ความต่อเนื่องของนโยบาย : อินเดียกำลังจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในปี 2567 ซึ่งทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า พรรคภารติยะชนตะ (Bharatiya Janata Party หรือ BJP) พรรคชาตินิยมที่เป็นรัฐบาลจะสามารถรักษาอำนาจไว้ได้ ในมุมนี้หากพรรคเดิมได้รับชัยชนะนโยบายที่เคยสร้างหรือทำไว้ก็จะไม่สะดุดและสามารถดำเนินต่อไปได้

สำหรับทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้นำพาอินเดียเข้าสู่ประเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะในเรื่องเศรษฐกิจ คน โดยการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเลยหากภายในประเทศไม่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งทางภาครัฐบาลของอินเดียก็ถือได้ว่ามีการ Manage ทุกอย่างออกมาค่อนข้างดีรวมทั้งประชาชนก็ได้ให้ความร่วมมือ แต่อย่างไรก็ดีอินเดียก็ยังมีข้อที่ต้องปรับปรุง หรือยกระดับอยู่เช่นเดียวกัน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง เป็นต้น โดยในอนาคตหากทุกอย่างเริ่มมีการพัฒนาที่ชัดเจนมากขึ้น การที่อินเดียจะขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับ 3 ของโลกก็คงไม่ยาก

.

ที่มา : IQ, CNBC, Wikipedia, ditp, บล.บัวหลวง

.

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ

.

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.facebook.com/businessplusonline/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/

.

#Businessplus #thebusinessplus #นิตยสารBusinessplus #ตลาดหุ้นอินเดีย #อินเดีย #India