Business Trend

เปิด 9 ธุรกิจมาแรงที่คนเลือกทำเพราะกำไรสูง-กระแสนิยม

ในช่วงปี 2566 ถือว่าเป็นปีที่การจัดตั้งธุรกิจมีความคึกคัก โดยประเทศไทยมีนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 79,961 ราย (ม.ค.- พ.ย.) มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 9.18% ส่งผลให้ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ 892,001 ราย ด้วยทุนจดทะเบียน 21,740,954 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 คาดว่าการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง (source : datawarehouse)

โดยมีธุรกิจ 9 ประเภทที่มาแรง และคาดว่าจะโดดเด่นข้ามปีจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งทั้งรายได้และกำไร รวมไปถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เอื้อให้สินค้าและบริการของธุรกิจเหล่านี้ยังได้รับความนิยมสูง โดย 9 ธุรกิจที่น่าจับตามองมีดังนี้

1. ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร, ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ห้องชุด เกสต์เฮ้าส์, ธุรกิจจัดนำเที่ยว, ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา, ธุรกิจตัวแทนการเดินทาง โดยปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจัดตั้งธุรกิจรวม 7,459 ราย เติบโต 48% จากปี 2565 ขณะที่ผลประกอบการรวมในปี 2565 ค่อนข้างโดดเด่น โดยทำผลงานรวมกันได้ 575,347 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 64% จากปี 2564

โดยธุรกิจท่องเที่ยวมีแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจสูงขึ้นในปี 2567 เพราะต้องการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2566 ประมาณ 27 ล้านคน และปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 30-35 ล้านคน

2. ธุรกิจการจัดประชุม แสดงสินค้า คอนเสิร์ต เช่น การจัดแสดงทางธุรกิจและสินค้า, การจัดประชุม, จัดงานเลี้ยง, หรือกิจกรรมด้านความบันเทิงเช่นคอนเสิร์ต หรือเทศกาลดนตรี โดยธุรกิจประเภทนี้สามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลรับกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการจัดคอนเสิร์ต หรือเทศกาลดนตรีต่างๆ ของศิลปินชาวต่างชาติที่ดึงดูดผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาร่วมกิจกรรม และธุรกิจประเภทนี้ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการจัดประชุม แสดงสินค้า หรือคอนเสิร์ต ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่จะใช้โอกาสนี้ เดินทางท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจัดตั้งธุรกิจรวมทั้งสิ้น 1,138 ราย เติบโตสูงขึ้น 45% จากปี 2565 และมีผลประกอบการในปี 2565 รวมกัน 56,750 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้นถึง 37% จากปี 2564

3. ธุรกิจสุขภาพและความงาม เช่น ธุรกิจปลูกพืช เครื่องเทศ เครื่องหอมยารักษาโรค, ธุรกิจโรงพยาบาล คลินิกโรคเฉพาะทาง, ธุรกิจขายปลีก/ส่งเภสัชภัณฑ์และเวชภัณฑ์  โดยประเภทธุรกิจสุขภาพและความงามในปี 2565 สร้างรายได้ 1,184,181 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2564 มูลค่า 97,052 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจนี้ได้จะยังเติบโตต่อเนื่องเกิดจากความวิตกกังวลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสนใจหันมาดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง การให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของบุคคล รูปร่าง หน้าตา เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้เป็นอย่างมาก

4. ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ เช่น ธุรกิจสถานที่ดูแลรักษาสำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจบริการจัดหาที่พักให้, ธุรกิจสังคมสงเคราะห์โดยไม่มีที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ฯลฯ จากแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทั้งของไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ส่งผลให้จำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับอัตราการเกิดของประชากรใหม่ในแต่ละปี ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุเข้ามามีบทบาทและสร้างโอกาสการทำตลาดเพื่อรองรับจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งนี้ มีการจัดตั้งธุรกิจในปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) จำนวนทั้งสิ้น 107 ราย เพิ่มสูงขึ้น 11% จากปี 2565 โดยปัจจุบันมีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศจำนวน 721 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งสิ้นกว่า 4,250 ล้านบาท และยิ่งในอนาคตไทยมีโอกาสจะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Hyper-Aged Society หรือ Super-Aged Society) ยิ่งทำให้ธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตสูง

5. ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น ธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง, ธุรกิจขายปลีกอาหารและอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง, ธุรกิจขายส่งอาหารสัตว์ ฯลฯ โดยปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจรวม 494 ราย เติบโตสูงขึ้น 32% จากปี 2565 รายได้ทางธุรกิจรอบปีบัญชี 2565 จำนวน 197,842 ล้านบาท รวมทั้งมีอัตราเติบโตของกำไรปี 2565 เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จาก 3,152 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 13,304 ล้านบาท ในปี 2565 ทั้งนี้ ธุรกิจดังกล่าว เป็นธุรกิจที่เติบโตขึ้นจากความรักและความผูกพันระหว่างคนและสัตว์เลี้ยงที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสัตว์เลี้ยงให้เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ทำให้ผู้เลี้ยงสัตว์ลงทุนสรรหา/เลือกอาหาร และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีมูลค่าสูงให้กับสัตว์เลี้ยงของตน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถสร้างรายได้และผลกำไรแก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง

6. ธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ด้วยสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งรอบข้างที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะการณ์ของโลก ทำให้ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์และรูปแบบกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบทางธรรมชาติทั้งปัจจุบันและอนาคต ส่งผลให้มีธุรกิจหลายประเภท เช่น ธุรกิจรีไซเคิล, ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า  ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจรวมทั้งสิ้น 197 ราย เติบโตสูงขึ้น 12% จากปี 2565 รายได้ในปี 2565 จำนวน 486,759 ล้านบาท รวมทั้งมีอัตราเติบโตของผลกำไรปี 2565 ถึง 45% เป็น 35,512 ล้านบาท ในปี 2565

7. ธุรกิจบริการ e-Commerce ได้แก่ ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต และ ธุรกิจตลาดกลางในการซื้อขายออนไลน์ เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองความสะดวกสบาย ความคุ้มค่าในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าอุปโภค/บริโภค และบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่เข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่าย โดยปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจัดตั้งธุรกิจรวม 1,800 ราย เติบโตสูงขึ้น 17% จากปี 2565 และมีรายได้ปี 2565 สูงถึง 194,837ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปี 2564

8. ธุรกิจบริการชำระเงินแบบดิจิทัล ได้แก่ ธุรกิจการประมวลผลและการเรียกชำระเงินสำหรับธุรกรรมทางการเงิน เป็นธุรกิจให้บริการชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการผ่านทางออนไลน์ ทำให้การชำระค่าสินค้าและบริการเป็นเรื่องง่ายและสะดวกรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการ การจัดตั้งธุรกิจปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวน 22 ราย สร้างรายได้รอบปีบัญชี 2565 มูลค่า 19,098 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 37% เมื่อเทียบกับรอบปีบัญชี 2564 รวมทั้ง สร้างผลกำไรสูงมากกว่า 1.9 เท่า จาก 844 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 2,478 ล้านบาท ในปี 2565

9. ธุรกิจซอฟต์แวร์ เช่น ธุรกิจจัดทำโปรแกรมเว็บเพจ, ธุรกิจจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์, ธุรกิจให้คำปรึกษาทางด้านซอฟต์แวร์ในปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจรวม 1,104 ราย โดยธุรกิจกลุ่มนี้สร้างรายได้ปี 2565 มูลค่า 160,201 ล้านบาท สูงขึ้นถึง 19,171 ล้านบาท หรือ 14% จากปี 2564 ซึ่งการเติบโตของธุรกิจดังกล่าวสอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่การดำรงชีวิตไปจนถึงการประกอบธุรกิจของภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ รวมทั้ง ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ล้วนนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนประกอบประสานรวมกับ AI หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างชัดเจน เป็นแรงผลักดันที่ส่งผลให้ธุรกิจซอฟต์แวร์เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค

Business Trend

ทั้งนี้ กระทรวจพาณิชย์คาดว่าปี 2567 การประกอบธุรกิจของภาคเอกชนจะมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยต้องพิจารณารวมกับปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ เช่น เศรษฐกิจของโลกและเศรษฐกิจประเทศต่างๆ หรือปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ ของเศรษฐกิจประเทศ โดย 9 ประเภทธุรกิจดังกล่าวข้างต้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก สามารถนำไปเป็นข้อมูลส่วนหนี่งประกอบการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม นอกจากกระแสธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมแล้ว ความชื่นชอบและความถนัดก็เป็นอีกคุณสมบัติที่ต้องคำนึง เนื่องการลงทุนมีความเสี่ยง การลงทุนทำธุรกิจต้องรอบคอบมากที่สุด

โดยเกณฑ์สำหรับการคัดเลือก 9 ธุรกิจนี้ กระทรวงพาณิชย์ ใช้หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์จาก 4 หลักเกณฑ์หลักๆ คือ

  1. จำนวนและอัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจ 50%
  2. ผลประกอบการ (กำไรและรายได้) 20%
  3. อัตราการเลิกของธุรกิจ 20%
  4. ปัจจัยภายนอก 10% เช่น แนวโน้ม กระแสความนิยม พฤติกรรมของธุรกิจ นโยบายรัฐบาล และดัชนีทางเศรษฐกิจ

ที่มา : datawarehouse

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ติดตาม Business+ ได้ที่ Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#thebusinessplus #BusinessPlus #ธุรกิจ #เทรนด์ธุรกิจ