เวียดนาม เนื้อหอม!! ครึ่งปีแรก เงินทุนเข้าซื้อหุ้นกว่า 15,271 ล้านเหรียญ ด้านภาคเอกชนไทย เชื่อมีโอกาสโตอีกมาก

.
ครึ่งปีแรกผ่านไปแล้ว เพื่อนบ้านที่ตอนนี้เนื้อหอมมากที่สุดสำหรับนักลงทุน ก็คงหนีไม่พ้น เวียดนาม ที่นอกจากจะขยันไต่ระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีพื้นที่ว่างให้นักลงทุนได้ลงมาจับจองกันอีกเพียบ
.
ซึ่งสิ่งที่เวียดนามน่าดึงดูด มีปัจจัยหลัก ๆ มาจาก ‘แรงงาน’ และ ‘การสนับสนุนจากภาครัฐ’
.
ปัจจุบันประชากรเวียดนามมีทั้งหมดราว 98 ล้านคน โดยสัดส่วนประชากรที่ในวัยทำงาน และเป็นแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศมีมากถึง 45.7% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ
.
ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 25-54 ปี ที่สำคัญคืออายุเฉลี่ยโดนรวมของประเทศอยู่ที่ 31 ปี นั้นหมายถึงอัตราการเติบโตของ GDP ที่ก็จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปด้วย
.
เปรียบได้ว่า เวียดนาม ในตอนนี้คล้ายกับ จีน เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว คือเป็นอีกหนึ่งฐานการผลิตที่สำคัญของโลก และมีค่าจ้างแรงงานถูก รวมถึงความสงบทางการเมืองเวียดนาม
.
เวียดนามปกครองแบบพรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ไม่ได้มีผู้นำกุมอำนาจสูงสุดผู้เดียวแบบจีน เวียดนามแบ่งอำนาจออกเป็น 4 ตำแหน่งใหญ่ที่ช่วยกันบริหารประเทศ ได้แก่ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์, นายกรัฐมนตรี, ประธานาธิบดี, และประธานสภาแห่งชาติ ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้มีการเปลี่ยนผู้นำบางตำแหน่งและสานต่อแผนพัฒนาต่ออย่างราบรื่นดี
.
.
อีกทั้งในมุมความเห็นนักทุนใหญ่ที่เคยได้มีโอกาสลงไปสัมผัสถึงที่ อย่างผู้บริหาร Wind Energy ที่เคยได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Business Plus ว่า ตัดสินใจลงทุนต่อยอดธุรกิจในเวียดนาม ด้วยเหตุผลที่เวียดนามยังมีพื้นที่โอกาสเติบโตได้อีก
.
รวมถึงปัจจัยการสนับสนุนจากภาครัฐของเวียดนามที่พัฒนาแผนอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ในขณะที่ต้องพลาดอินโดนีเซียหนึ่งประเทศเศรษฐกิจสำคัญของอาเซียนไป ด้วยเหตุผลหลักคือ แถบไม่เหลือรูมลงเล่นต่อแล้ว (อ่านเพิ่มเติมบทสัมภาษณ์ : https://www.thebusinessplus.com/wind-is-coming-%e0%b9…/…)
.
.
.
คราวนี้มาดูกันต่อว่า ตัวเลขการลงทุนต่างชาติในเวียดนามเป็นอย่างไรบ้าง
.
รายงานจากกรมการลงทุนต่างชาติ ระบุว่าเวียดนามมีโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (นับถึงเดือนมิถุนายน 2564) ราว 33,787 โครงการ
ด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 397,886 ล้านเหรียญสหรัฐ
.
ซึ่งเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดด้วย 9,111 โครงการ
มีมูลค่าเงินทุนจดทะเบียน 72,076 ล้านเหรียญสหรัฐ
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.1 ของมูลค่าเงินทุนทั้งหมด
.
รองลงมาเป็นญี่ปุ่น มี 4,716 โครงการ
มูลค่าเงินทุนจดทะเบียน 63,059 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 15.8
.
และอันดับสาม สิงคโปร์ 2,735 โครงการ
มูลค่าทุนจดทะเบียน 62,271 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 15.6
.
ส่วนประเทศไทย เป็นอันดับที่เก้า มี 626 โครงการ
มูลค่า 12,783.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
.
.
.
สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 รวม 804 โครงการใหม่ด้วยเงินทุนจดทะเบียน
9,549 ล้านเหรียญสหรัฐ และซื้อหุ้นในธุรกิจเวียดนามรวม 15,271 ล้านเหรียญสหรัฐ
ลดลงร้อยละ 2.6 (YoY)
.
ซึ่งประเทศที่มีเงินทุนจดทะเบียนใหม่มากที่สุดตกเป็นของ สิงคโปร์
ด้วยมูลค่ากว่า 4,736.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวน 106 โครงการใหม่
และซื้อหุ้นในธุรกิจเวียดนาม มูลค่า 351.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
.
ตามมาด้วยญี่ปุ่น ที่ถึงแม้จะมีโครงการใหม่จำนวน 86 โครงการ
แต่มีเงินทุนจดทะเบียนใหม่มากถึง 1,656.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
และซื้อหุ้นในธุรกิจเวียดนามด้วยมูลค่า 114.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
.
อันดับสาม เกาหลีใต้ มีจำนวนโครงการใหม่มากที่สุด คือ 187 โครงการ
แต่เงินทุนจดทะเบียนใหม่ตกเป็นอันดับสาม ด้วยมูลค่า 573 ล้านเหรียญสหรัฐ
และซื้อหุ้นในธุรกิจเวียดนามด้วยมูลค่า 395.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
.
สำหรับประเทศไทย เป็นอันดับเก้า มี 21 โครงการใหม่
เงินทุนจดทะเบียนใหม่ 105.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
และซื้อหุ้นในธุรกิจเวียดนามด้วยมูลค่า 106.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
.
.
.
ภาคอุตสาหกรรมสุดฮิต ของนักลงทุนต่างชาติ
.
ซึ่งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ลงทุนในภาคการผลิตและแปรรูปมากที่สุด
มีมูลค่าราว 6,977 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 45.7 ของเงินทุนจดทะเบียนทั้งหมด
.
รองลงมา คือ ภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า มีการลงทุนมากมูลค่า 5,340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 34.9
.
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 1,150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ร้อยละ 7.5
ตามด้วยธุรกิจด้านวิชาการและวิทยาศาสตร์ มูลค่า 476 ล้านเหรียญสหรัฐ ร้อยละ 3.1
และ ธุรกิจการค้าส่งค้าปลีก มูลค่า 420 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ร้อยละ 2.7
.
.
.
สำหรับนักลงทุนไทยส่วนใหญ่ ลงทุนด้านอุตสาหกรรมการผลิตและการแปรรูปเช่นกัน
รวมถึงภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก เป็นต้น
.
นักลงทุนไทยรายใหญ่ที่ลงทุนในเวียดนาม เช่น TCC Group, Central Group, SCG, CP Vietnam, Hemaraj, ThaiBev, Amata, B.Grimm Power, Super Energy Corporation, Stark Corporation, Gunkul Engineering, Gulf Energy Development เป็นต้น
.
.
.
แม้ตัวเลขการเติบโต GDP ของเวียดนามในครึ่งปีแรกของ ปี 2564 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.64
แต่หากเทียบกับปีก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ยังถือว่าเติบโตน้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
(ครึ่งปีแรก : ปี 2561 GDP เติบโตร้อยละ 7.05 และปี 2562 เติบโตร้อยละ 6.77)
.
อย่างไรก็ตามถือว่าเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศที่รับมือผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และควบคุมเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี เรียกได้ว่าได้รับผลกระทบน้อยมากที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว
.
.
.
gso.gov.vn / กรมสถิติเวียดนาม / กรมการลงทุนจากต่างชาติ
.
ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC
.
#BusinessPlus #ข่าวเวียดนาม #ลงทุน #ลงทุนเวียดนาม #นักลงทุน