หุ่นยนต์ AI

หุ่นยนต์ กับ AI 2 คำนี้ไม่เหมือนกัน…?

หลายปีที่ผ่านมานี้ เราได้ยินกระแสข่าวมาแรงเกี่ยวกับ หุ่นยนต์ หรือปัญญาประดิษฐ์ หรืออีกนัยหนึ่งที่เรียกว่า AI – Artificial Intelligence จะเข้ามาแย่งงานจากมนุษย์ไปกว่า 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้คนในหลายๆ วงการกำลังหวั่นวิตกอย่างมาก เพราะเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมรูปโฉมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินกว่าที่เราจะคาดคิด

ยิ่งเมื่อบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นนำต่างเร่งพัฒนา AI กันอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่มีแนวโน้มนำ AI มาใช้ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ธนาคาร และยานยนต์ และลดจำนวนพนักงานลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกคนต้องหันกลับมามองเจ้า AI กันอย่างจริงจังว่า เจ้า AI หรือหุ่นยนต์ ที่เราๆ เรียกกันจะมีผลต่อชีวิตและความมั่นคงในอนาคตของเรากันอย่างไรบ้าง…

นอร์แมน บัคเลย์ นักจิตวิทยาผู้คิดค้นเครื่องมือ Facet 5 สำหรับทดสอบบุคลิกภาพที่ทันสมัยที่สุด ได้จุดประกายคำถามที่น่าสนใจว่า จริงๆแล้วเราควรกังวลอะไรเกี่ยวกับ AI หรือหุ่นยนต์ หรือไม่ แล้วมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร ซึ่งหลายๆคนรู้อยู่แล้วว่า มันเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ แต่ว่าคำถามใหญ่ที่คิดคือ มันจะแย่งงานเราไปมั้ย มันจะเกิดขึ้นมั้ย แล้วถ้ามันเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร เราควรจะวิ่งหนีตอนนี้เลย หรือเราควรจะรอถึงอาทิตย์หน้า สุดท้ายถ้าพวกเค้ามาเอางานเราไปส่วนหนึ่ง มันจะเหลืออะไรที่เราควรทำ

ก่อนอื่นเราต้องทำความใจกับคำ 2 คำคือ หุ่นยนต์ กับ AI ก่อนว่าแท้จริงแล้ว 2 คำนี้ไม่เหมือนกัน…หุ่นยนต์ คือ การทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเนื่องกันไป เช่น ประสบการณ์ที่มีต่อหุ่นยนต์ตัวแรกของผมมาจากบริษัทผลิตยาแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรซึ่งผลิตยานิวโรฟิลด์เป็นล้านๆ เม็ด โดยใช้เครื่องจักรกล

“ผมคิดว่ามันเป็นหุ่นยนต์ เพราะมันทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทำต่อไปเรื่อย ๆ หุ่นยนต์เครื่องนี้ทำแอสไพรินช่วงหนึ่ง แล้วก็จะไปทำยาอย่างอื่นต่อ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนการทำยาเม็ดนึงไปสู่ยาอีกเม็ดนึง คุณต้องทำความสะอาดทุกอย่าง เพราะคุณไม่อยากให้เหลือแอสไพรินไปอยู่ในยาตัวอื่นใช่มั้ย ปัญหาคือ คนที่ทำงานอยู่ในสายการผลิตบอกว่าจะสไตรค์อยู่เรื่อยเพราะว่ามันเป็นงานที่ต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา เป็นการทำงานที่ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ตลอดเวลา ผู้คนเบื่อมาก ดังนั้น เราไม่ได้กังวลเพราะว่า ตัวเครื่องจักร หรือ machine นี่มันมีอยู่ตั้งนานแล้ว”

หุ่นยนต์คือสิ่งที่จะมาแน่นอน หากกลับไปดูเว็บไซต์ amazon ที่เค้ามีพนักงานมากที่สุดในโลก แล้วก็จะมีหุ่นยนต์ถึง 100,000 ตัว แล้วพนักงานเหล่านี้ทำอะไร??

คำตอบคือดูแลหุ่นยนต์ นี่คือสิ่ง amazon ทำ คือ มอบหมายงาน เราอาจจะบอกได้ว่า นี่เป็นมายาคติอันหนึ่งที่อาจจะไม่ใช่ว่าหุ่นยนต์จะมาแย่งงานมนุษย์ แต่แน่นอนว่า มนุษย์อาจจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ได้ในบางอาชีพ เช่น นางแบบ กรรมการตัดสินกีฬาเทนนิส หรือฟุตบอล หรือผู้ช่วยทนาย ซึ่งหนึ่งในงานที่ผู้ช่วยทนายต้องทำ คือ ต้องตีความข้อมูลที่เขียน และค้นพบว่า AI สามารถตีความข้อมูลได้ และสามารถให้ความเห็นได้อีกด้วย มีใครใช้ Gmail มั้ย ถ้าคุณดู Gmail ตรง smart reply มันสามารถแนะนำให้คุณไปงานโน้นหรืองานนี้ก็ได้ เพราะมันอ่านอีเมลทั้งหมดของคุณ นั่นคือ สิ่งที่ AI ทำ และถ้าใครก็ตามใช้ Gmail ถือว่า คุณใช้ AI อยู่ตอนนี้” นอร์แมน เล่าพร้อมยังเสริมว่า

“แต่ก็มีอีกหลาย ๆ อาชีพที่ AI ไม่สามารถมาทดแทนได้ นั่นคือ นักผจญเพลิง ช่างภาพ หมอ ซึ่ง AI ยังทำไม่ได้ เพราะมันยากมากที่จะตีความในเรื่องความรู้สึกแบบนั้นได้ แล้วอะไรที่พวกเค้าทำได้ดี มันมีคนวิจัยมากมายเลยว่า ประมาณ 25% ของงาน CEO สามารถใช้ AI ทำงานแทนได้ เช่น การคำนวณตัวเลข การเปรียบเทียบสินค้า A กับ B แต่ว่า AI จะไม่สามารถ coaching ให้คำแนะนำได้ และไม่สามารถเข้าไปไกล่เกลี่ยปัญหาอะไรได้ มันต้องใช้คน ในอนาคตอาจจะได้

แต่ในปัจจุบันนี้ผมว่า ยังทำไม่ได้ ผมคิดว่า คนจะยังเป็นที่ต้องการต่อไปในอนาคตอีกยาวนาน เรายังไม่ถูก takeover จากหุ่นยนต์ เราต้องการมนุษย์ การพัฒนาสิ่งแวดล้อมทำให้มันเป็นที่ทีดี่ในการมีชีวิตอยู่ ถ้าคุณมีอายุครบ 100 ปี คุณต้องทำงานๆๆๆ และนี่อาจจะเป็นการพัฒนาทักษะใหม่ขึ้นมาได้ และแน่นอนว่า หุ่นยนต์ไม่สามารถสนทนาได้อย่างที่เราทำ” นอร์แมน ทิ้งท้าย