ถ้าพูดถึง ‘ความสะดวก’ โดยเฉพาะกับช่วง ‘สิ้นเดือน’ กับท้องที่กำลังหิว คงหนีไม่พ้น ‘ปลาทูน่ากระป๋อง’
.
ทั้งนี้ คนไทยได้รับการบริโภคปลากระป๋องเพียง 15% จากการผลิตเท่านั้น เพราะที่เหลืออีก 85% เป็นสินค้าสำหรับการส่งออก โดยการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยสามารถของสัดส่วนการตลาดได้เป็นอันดับที่ 1 ของโลกเลยทีเดียว
.
ที่น่าสนใจคือ สัดส่วนการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของไทย มีดังนี้
- สหรัฐอเมริกา 8%
- อียิปต์ 3%
- ออสเตรเลีย 2%
- ลิเบีย 2%
- ญี่ปุ่น 8%
- แคนาดา 2%
- อาหรับเอมิเรตส์ 2%
- ซาอุดิอาราเบีย 1%
- อื่น ๆ 2%
.
จะเห็นได้ว่าการส่งออกถูกกระจายไปปยังประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยสัดส่วนที่มากที่สุด ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2022ตลาดสหรัฐอเมริกานำเข้าทูน่ากระป๋องปริมาณ 47,117 ตัน คิดเป็นมูลค่า 7,352 ล้าน โดยปริมาณเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.7 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2021 เรียกได้ว่าตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่และเป็นตลาดหลักที่จำเป็นต้องรักษาส่วนแบ่งไว้
.
และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 พบว่าปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้เก็บวัตถุดิบเพื่อเตรีมการผลิตมีพื้นที่รองรับมากขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการขนส่งวัตถุดิบปลาแช่แข็งระหว่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้การผลิตสามารถขยายตัว 2.2% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2022 ที่พบว่า -25.9%เลยทีเดียว โดยไทยสามารถผลิตปลาทูน่ากระป๋อง เป็น 77.0% ของปลากระป๋องทั้งหมด
.
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าในปี 2023 ภาพรวมอุตสาหกรรมปลากระป๋องมีแนวโน้มเติบโตในอัตราชะลอลง ซึ่งปริมาณการผลิตจะขยายตัว 2.0-4.0% ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการจากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการไทยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อดึงดูดตลาดอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปริมาณส่งออกจะเติบโตเฉลี่ย 2.5-4.5% และมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.0-2.0% ซึ่งในส่วนของวัตถุดิบคาดว่าจะปรับตัวลงตามราคาการส่งอกที่มีมากขึ้นอีกด้วย
.
.
ที่มา : วิจัยกรุงศรี, ธนาคารกรุงเทพ, กลุ่มวิเคราะห์การค้าสินค้าประมงระหว่างประเทศ
เขียนและเรียบเรียง : อโญศิริ สุระตโก
.
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/
.
#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #ปลากระป๋อง #ทูน่ากระป๋อง #ส่งออก