Trend Business

เปิด 5 เทรนด์สำหรับภาคธุรกิจที่จะขาดไม่ได้ในปี 2024

เทรนด์สำหรับการบริหารธุรกิจเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคอยู่เสมอ ซึ่งในปี 2024 จะมีเทรนด์สำหรับการดำเนินธุรกิจมากมายเกิดขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งยังเป็นเทรนด์ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2023 อย่างเช่น ธุรกิจที่ยังเป็น Mega Trend อย่าง สุขภาพ , Pet Parents , Aging Societies , พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม ‘Business+’ พบข้อมูลว่า ในปี 2024 จะมีอยู่ 5 เทรนด์หลักๆ ที่หลายฝ่ายมองเห็นตรงกัน นั่นคือ

Business Trend

โดยอันดับที่ 1 ที่สื่อด้านธุรกิจต่างเห็นตรงกันคือ

1) การนำ AI มาใช้กับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยประสบการณ์ของลูกค้า และการประหยัดต้นทุน โดยที่เราได้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูล และพฤติกรรมของลูกค้าจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างการนำ AI มาช่วยเรียนรู้ข้อมูลในเชิงลึก จนสามารถเพิ่มผลผลิตและความสามารถในการทำกำไรได้ และยังมีการนำมาใช้ปฏิบัติด้านคลังสินค้าและการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปจนถึงการมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าปลายทาง โดยบริษัทที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI จะทำให้เกิด Productivity สูงสุด

อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งเทรนด์ที่จะตามมาคือ การปกป้องข้อมูล และความปลอดภัยจากการนำ AI มาใช้ ซึ่งนอกจากจะปกป้องเรื่องของการรั่วไหล หรือการนำข้อมูลไปใช้แล้ว ยังรวมไปถึงการนำ AI มาใช้เพื่อไม่ให้เกิดการเลิกจ้างหรือไปละเมิดสิทธิบางอย่างของมนุษย์ รวมถึงผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อธุรกิจ จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

2) การทำงานแบบ Hybrid Working โดยพบข้อมูลว่า เทรนด์ที่เกิดขึ้นหลัง COVID-19 คือ การทำงานจากที่บ้าน (work from home) และการประชุมผ่านออนไลน์ และในปี 2024 เทรนด์นี้จะยิ่งสูงขึ้น จากการพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถส่งงาน หรือประชุมออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้พนักงานต้องการความยืดหยุ่นด้วยการกำหนดเวลาทำงาน และสถานที่ทำงานได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น เจ้าของธุรกิจจึงต้องปรับไปใช้โยบาย Flexible Working Policy หรือ ปรับกฏระเบียบองค์กรให้มีความยืนหยุ่นมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจว่า หากบริษัทใดที่มีความยืดหยุ่นสูงจะทำให้พนักงานมีความภักดีต่อองค์กร และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นตามด้วย

3) เจาะตลาดด้วย Social Media โดยหลายฝ่ายมองตรงกันว่า การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การใช้โซเชียลมีเดียในการทำการตลาดธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งมีการรายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ว่าการใช้โซเชียลมีเดียของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเกือบ 8% นับตั้งแต่ต้นปี และยังมีการประมาณการว่า จากปัจจุบันมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 4.95 พันล้านคน ณ เดือนตุลาคม 2023 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 4.74 พันล้านในปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ในแง่ของเม็ดเงินนั้น มีการวิเคราะห์ว่า จะได้เห็นบริษัทหลายแห่งเพิ่มการใช้จ่ายในโฆษณาบนโซเชียลมีเดียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งโฆษณา TikTok ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่ธุรกิจต่างๆ ใช้กันมากขึ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรมในขณะนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาพบว่าโฆษณา TikTok ในฟีดน่าจดจำมากกว่าโฆษณาทางทีวีถึง 23%และน่าจดจำมากกว่า 13% เมื่อเทียบกับวิดีโอดิจิทัลประเภทอื่นๆ

4) สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน (Sustainability) โดยภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งผลการวิจัยจาก IBM และ National Retail Federation แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ ครึ่งหนึ่งกล่าวว่าพวกเขายินดีจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และผู้บริโภค 62% ยินดีเปลี่ยนพฤติกรรมการช็อปปิ้งเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้รายงานทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าผู้คน 85%เปลี่ยนนิสัยการซื้อเพื่อให้มีความยั่งยืนมากขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ธุรกิจต่างๆ ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคโดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกระบวนการ ESG ของตน

5) เสริมช่องทางขายด้วย E-Commerce โดยพบข้อมูลว่า ถึงแม้ว่าการเติบโตของอีคอมเมิร์ซจะชะลอตัวลงหลังการแพร่ระบาด แต่ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ ยังคงปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มผลกระทบต่อผลกำไรสูงสุด โดยในปี 2566 ยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกมีมูลค่ารวม 6.3 ล้านล้านดอลลาร์และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2569 (Source : Statista)

โดยการเพิ่มช่องทางขายผ่าน E-Commerce จะช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการซื้อมากขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นการดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้ เพราะปัจจุบันลูกค้ารักความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น การสั่งสินค้าออนไลน์แล้วได้รับสินค้าภายใน 1-2 วันจึงเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามากขึ้น

ทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ที่เจ้าของธุรกิจควรนำไปปรับใช้เพื่อไม่ให้ถูก Disruption โดยเฉพาะจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มักเปรียบเทียบข้อมูลก่อนการตัดสินใจ และกลุ่มคนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในฐานะผู้บริโภค และคนเหล่านี้มีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคน Gen X หรือ Baby boomers เป็นอย่างมาก โดยนวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมไปถึงความใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม สำคัญกับความรู้สึกของกลุ่มคนเหล่านี้ และมีทิศทางการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้กับบริษัทที่มีโซลูชันเทคโนโลยี ดังนั้น เจ้าของธุรกิจต้องพัฒนาอยู่เสมอเพื่อดึงดูดและรักษาพวกเขาไว้ในฐานะพนักงาน หรือลูกค้า โดยเฉพาะคน Gen Z ที่พบพฤติกรรมว่าไม่ยึดติดกับแบรนด์

ที่มา : indeed. , explodingtopics ,ttb , leaderonomics

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ในช่องทางอื่นๆ ที่ Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS