หลังผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความวิกฤตอย่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่กลับมาคึกคัก คือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่เมื่อผู้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างอิสระอีกครั้ง การใช้ช่วงเวลาในโรงภาพยนตร์ ที่นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับการรับชมภาพยนตร์ที่ชื่นชอบแล้ว ยังสามารถดื่มด่ำกับของขบเคี้ยวอย่างป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
เช่นเดียวกับภาพยนตร์ไทยที่ได้รับความสนใจไม่น้อย จนปัจจุบันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถกลับมามีชีวิตชีวา ซึ่ง ‘Major Cineplex’ กับอีกบทบาทที่สำคัญคือผู้สร้างภาพยนตร์ไทยเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังให้ “Tollywood” สามารถเกิดขึ้นได้จริง
คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปีที่ผ่านมา ระบุว่า ปี 2566 ถือเป็นปีทองของตลาดภาพยนตร์ไทย เนื่องจากมีภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเข้าฉายหลายเรื่อง อาทิ สัปเหร่อ, ธี่หยด, 4 Kings ซึ่งเฉพาะ 3 เรื่องดังกล่าวสามารถทำรายได้รวมกันในระดับพันล้านบาท ยังไม่นับรวมภาพยนตร์ไทยอื่น ๆ ที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมไม่น้อย จึงส่งผลให้ในปี 2566 ตัวเลข Market Share ของตลาดภาพยนตร์ไทยขึ้นไปแตะอยู่ที่ระดับสูง 55%
ซึ่งนอกจากจะสูงกว่าตัวเลขในช่วงที่ผ่านมาที่จะอยู่ที่ประมาณ 20-25% แล้ว ยังสูงกว่าในปีที่ภาพยนตร์ยอดนิยมอย่างพี่มากพระโขนงเข้าฉาย ซึ่งในปีดังกล่าวตัวเลข Market Share อยู่ที่ประมาณ 30% ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีการเติบโตเป็นอย่างดี ต่อเนื่องมาจนปี 2567 จึงเป็นเรื่องดีที่จะช่วยส่งเสริมผลักดันเป้าหมายในการสร้าง “Tollywood” ให้เกิดขึ้นจริง
ซึ่งกลยุทธ์ที่จะใช้ในการผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยของ ‘Major Cineplex’ คือการเดินหน้าเพิ่มสาขาในต่างจังหวัดให้มากขึ้น เนื่องจากสาขาต่างจังหวัดมีรายได้ที่สูงกว่าสาขาในกรุงเทพฯ โดยสัดส่วนรายได้สาขาต่างจังหวัดอยู่ที่ประมาณ 60% ขณะที่สาขาในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 40% ซึ่งในสัดส่วนรายได้ของสาขาต่างจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นตัวเลขที่มาจากการเข้าชมภาพยนตร์ไทย โดยหากคิดเป็น Market Share ภาพยนตร์ไทยเฉพาะสาขาต่างจังหวัดจะอยู่ที่ราว 80% ขณะที่ภาพยนตร์จากฝั่ง Hollywood อยู่ที่ 20%
ส่วนปัจจัยที่หนุนให้ภาพยนตร์ไทยเติบโตได้ดีในต่างจังหวัดคือ เรื่องของวัฒนธรรมที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งภาพยนตร์ที่ ‘Major Cineplex’ เป็นผู้ผลิต ก็ได้มีการใช้กลยุทธ์การนำวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงภาษาประจำถิ่นของแต่ละภูมิภาคในการนำเสนอภาพยนตร์ เพื่อสร้าง Localization ให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่าในระยะเวลา 1-2 ปีต่อจากนี้ สัดส่วนรายได้จากสาขาต่างจังหวัดจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 70% ขณะที่กรุงเทพฯ ลดลงมาอยู่ที่ 30%
นอกจากนี้ ‘Major Cineplex’ ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการทำ ESG ในทุกมิติ ด้วยแนวคิด Green Cinema แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
- Environmental คือ การลดขยะ ลดคาร์บอน และการใช้พลังงานทดแทน อาทิ การนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเสื้อยูนิฟอร์มของพนักงาน การนำจอภาพยนตร์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาผลิตเป็นกระเป๋า ซึ่งจะมีการต่อยอดเป็นอุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการส่งไฟล์ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในสาขาต่าง ๆ ผ่านระบบ 5G แทนการขนส่งทางรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และมีการแยกประเภทขยะในทุกสาขา เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อีกทั้งยังมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในองค์กร และการติดตั้ง EV Charger ให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน รวมถึงการทำ M-Skywalk ให้เป็น Green Space ในการออกกำลังกายให้กับประชาชนทั่วไปได้ใช้บริการฟรี ที่ดาดฟ้าอเวนิว รัชโยธิน และการเปิดพื้นที่ M Space ทุกสาขาที่เป็น Stand Alone ให้ประชาชนสามารถมานั่งทำงานได้ฟรี เพื่อเป็นการคืนประโยชน์ให้กับสังคม
- Social คือ การทำมูลนิธิเมเจอร์ แคร์ (Major Care Foundation) เพื่อเปิดโอกาสให้กับน้อง ๆ ผู้ด้อยโอกาส รวมไปถึงผู้สูงอายุ ได้ชมภาพยนตร์ฟรีในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันดำเนินการครอบคลุมเกือบครบทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย อีกทั้ง มีการสร้างห้องชมภาพยนตร์ให้กับโรงเรียนต่าง ๆ โดยนำห้องที่ยังว่างมาตกแต่งให้มีโทรทัศน์ รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งส่งคอนเทนต์ภาพยนตร์ไทยที่เป็นเชิงการศึกษา หรือสารคดีที่ย่อยง่าย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโครงการปลูกผักกะละมังในโรงเรียนที่เป็นพื้นที่ห่างไกล เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีการปลูกผักเพื่อนำไปเป็นอาหารกลางวัน
- Governance มุ่งมั่นที่จะทำให้องค์กรมีธรรมาภิบาลที่ดี มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และสร้างวัฒนธรรมองค์กร 9 Rules Of Success เพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน