‘หุ้นไฟฟ้า’ ผวา! นโยบาย ‘รัฐบาลใหม่’ ไม่เอื้อกลุ่มทุน

‘ประเทศไทย’ ห่างหายจากการเลือกตั้งในรูปแบบประชาธิปไตยมานานราว 9 ปี นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งทั่วโลกต่างขนานนามว่าเป็น ‘รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร’ เนื่องจากเป็นการถอดถอนรัฐบาลด้วยวิถีทางนอกกฎหมาย โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนับแต่นั้นมา

ซึ่งหลายคนคงเกิดข้อสงสัยว่าแล้วการเลือกตั้งในปี 2562 ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างไร? โดยจากการที่  ‘Business+’ ตรวจสอบข้อมูลพบว่า นั่นเป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งนั้นพลเอกประยุทธ์มีข้อได้เปรียบ เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีเก้าอี้ในสภามากถึง 250 ที่นั่ง มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารทั้งหมด และมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในช่วงนาทีสุดท้าย

สำหรับความสำคัญของการเลือกตั้งก็คือผู้ที่ถูกเลือกเป็น ‘ตัวแทนผู้นำ’ จะเป็นคนที่มากำหนดกติกาและนโยบายของประเทศในอนาคต ซึ่งจะสะท้อนทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนอยากให้เกิดขึ้นในสังคม อาทิ การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ การสร้างไทยขึ้นเป็นฮับต่าง ๆ

โดยวันนี้ ‘Business+’ จะพาทุกท่านย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ในช่วงก่อนการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน นับตั้งแต่ก่อนเกิดการรัฐประหาร และหลังการรัฐประหาร ตลอดจนเลือกตั้งล่าสุด ณ ปัจจุบันปี 2566

ย้อนกลับไปในปี 2557 ช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ดัชนี SET Index ปิดที่ระดับ 1,274.28 จุด ขณะที่ภายหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน ดัชนี SET Index ปิดอยู่ที่ระดับ 1,376.26 จุด ซึ่งบุคคลที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ ตอนนั้น คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการรัฐประหารขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ยังคงเปิดทำการปกติ และดัชนี SET Index ของเดือนพฤษภาคมจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.06% มาปิดที่ระดับ 1,415.73 จุด แต่ในส่วนของการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศกลับขายสุทธิด้วยมูลค่า 35,781 ล้านบาท นั่นเป็นเพราะว่าเกิดจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน

ซึ่งผลของการรัฐประหารทำให้สิทธิพลเมืองและสิทธิการเมืองถูกระงับ กองทัพมีอำนาจในการเมืองของประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งยังเกิดความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดเศรษฐกิจโดยกลุ่มธุรกิจใหญ่ นอกจากนี้ ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหารได้ราว 5 ปี รัฐบาลก็ได้มีการประกาศเลือกตั้งในปี 2562 โดยกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ดัชนี SET Index ปิดที่ระดับ 1,647.32 จุด ขณะที่ภายหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน ดัชนี SET Index ปิดที่ระดับ 1,673.43 จุด ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าดัชนี SET Index มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับผลการเลือกตั้งในช่วงขณะนั้น

โดยภายหลังจากที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีกระแสข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องต่อการเอื้อผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มนายทุนบางกลุ่ม ทั้งในเรื่องของนโยบายหรือการลงทุนต่าง ๆ อีกทั้งพบว่ายังมีกลุ่มประชาชนที่ได้รับความไม่ชอบธรรมในด้านต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดการประท้วงขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่ง ซึ่งช่วงนั้นนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นก็เกิดการแพนิกชิงขายออกมาตั้งหลัก เนื่องจากเกิดความกังวลต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มทุนที่ได้รับประโยชน์จากการบริหารภายใต้รัฐบาลชุดดังกล่าว ผลจากการสำรวจที่เห็นได้ชัดเลยคือ ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ เนื่องจากในช่วงที่พลเอก ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนั้น มีการให้สัมปทานแก่กลุ่มโรงไฟฟ้าแบบที่ยังไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่แท้จริง อีกทั้งมีนโยบายจ้างเอกชนผลิตไฟฟ้าเกินจำนวนการใช้งานโดยรวมของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ค่า Ft’ อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการจัดเก็บจากประชาชนผู้ใช้ไฟทำให้ต้องเสียค่าส่วนต่างเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี ล่าสุดในปี 2566 ได้มีการจัดการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ดัชนี SET Index ปรับลดลง 4.43 จุด มาปิดที่ระดับ 1,592.67 จุด หรือคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 0.28% ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 44,756 ล้านบาท เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวและนักลงทุนยังคงรอดูสถานการณ์ทางการเมือง

แต่อย่างไรก็ตาม หลังผ่านพ้นวันเลือกตั้งและทราบผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ในช่วงของการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนี SET Index ได้ปรับตัวลดลงกว่า 20 จุด และปิดการซื้อขายของวันที่ระดับ 1,541.38 จุด ลบ 19.97 จุด หรือลดลง 1.28% ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 68,382.81 ล้านบาท

โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนี SET Index มีการปรับตัวลดลงอย่างหนัก นั่นเป็นเพราะว่า ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยืดการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการออกไปอีก 5 วัน จากกำหนดการเดิมซึ่งจะประกาศภายในวันเดียวกันของการเลือกตั้ง คือวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง จึงได้ทำการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาเพื่อถือเงินสดหรือโยกเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยสูงแทน โดยกลุ่มนักลงทุนที่ขายออกมามากสุดในวันนั้น คือ กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งคงจะปฏิสธไม่ได้เลยว่าทุกการเคลื่อนไหวในประเทศมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้หากมองการซื้อขายหุ้นบนกระดานในวันนั้น หุ้น ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ มีการปรับตัวลดลงมาอย่างเห็นได้ชัด อาทิ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 6.33%, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ราคาหุ้นปรับตัวลดลง  0.74% โดยหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากกว่าตัวอื่น ๆ เห็นจะเป็น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นปรับลดลงถึง 8.57% เนื่องจากถือเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดของประเทศไทย โดยมีคุณสารัชถ์ รัตนาวะดี เป็นเจ้าของ อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในไทย แต่ผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในครั้งนี้ทำให้ทรัพย์สินของคุณสารัชถ์ ลดลงถึง 40,000 ล้านบาทภายในวันเดียว

สำหรับการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น GULF ในครั้งนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากการเลือกตั้งที่มีรัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้ชนะและกำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ไม่มีนโยบายที่เอื้อต่อกลุ่มทุนใหญ่ด้านพลังงาน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ GULF โดนเทขายออกมานั่นเอง

อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากชุดเก่าซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ยังขาดความชัดเจนนั้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นอย่างมาก และยังอาจกระทบไปถึงทางฝั่งของผู้ประกอบการในแง่ของนโยบายที่ยังคงไม่แน่ชัดว่าจะทำให้เกิดผลดีในด้านของการดำเนินธุรกิจหรือไม่ ซึ่งถ้าหากการเมืองภายในประเทศมีความชัดเจนได้เร็วเท่าไร การสร้างรายได้ สร้างคุณภาพทางสังคม ก็จะเกิดขึ้นได้เร็วเช่นกัน และยังทำให้ประเทศสามารถเดินหน้าในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

.

ที่มา : SET, Wikipedia

เขียนและเรียบเรียง : ศิริวรรณ อรรถสุวรรณ

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/