นวัตกรรม หัวใจขับเคลื่อนมิชลิน Product Innovation Awards 2020 : รางวัลสินค้าไลฟ์สไตล์ ประเภทยางรถยนต์

131 ปี ที่ชื่อ ‘มิชลิน’ เกิดขึ้นมาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดั่งพันธกิจที่ว่า ‘ขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ดีกว่า’ เพราะที่มิชลินเชื่อว่า ‘การสัญจรมีความสำคัญต่อพัฒนาการของมนุษย์ เราจึงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้การสัญจรปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ‘การนำเสนอคุณภาพที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า’


หากถามถึงสาเหตุที่ทำให้มิชลินประความสำเร็จว่าเกิดจากปัจจัยใด เมื่อได้ฟังคำตอบจาก คุณวิเนต องค์เนกนันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด B2C บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ทุกคนก็จะทราบว่า ทำไม ‘มิชลิน’ ถึงเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก

“ในแต่ละปี มิชลินใช้งบประมาณในการวิจัยกว่า 680 ล้านยูโร หรือ 24,000 ล้านบาท มีพนักงานที่ทำงานวิเคราะห์วิจัยผลิตภัณฑ์ใน R&D กว่า 6,000 คน ใน 29 ประเทศทั่วโลก นวัตกรรมจึงถือว่าเป็น DNA ของมิชลิน และเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา

และจากประสบการณ์ตรงที่เราได้จากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของมิชลินเอง รวมทั้งการวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วไป หลายคนมีความกังวลใจในการเปลี่ยนยางแต่ละครั้ง เพราะการเปลี่ยนครั้งหนึ่งต้องใช้ยางนั้นไปอีกนาน และค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนก็ไม่ใช่น้อย ๆ จึงต้องเลือกยางที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ของผู้บริโภคมากที่สุด

นอกเหนือไปจากนั้น ยางยังต้องช่วยเสริมสมรรถนะของรถยนต์ อาทิ การยึดเกาะถนน การเบรกที่สั้นกว่า ความนุ่ม เงียบ ดังตัวอย่างยางรุ่น MICHELIN PRIMACY 4 ซึ่งผู้บริโภคโหวตให้เป็นแบรนด์ชนะเลิศด้านนวัตกรรมดีเด่น ประเภทยางรถยนต์

จะพบว่านอกจากคุณสมบัตินุ่มและเงียบตามแบบฉบับของมิชลินแล้ว ยังเพิ่มความโดดเด่นมากขึ้นด้วยการเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้าไป นั่นคือ สมรรถนะที่ดีตลอดระยะเวลาการใช้งาน ทำให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้กับสมรรถนะความปลอดภัยและความคุ้มค่าสูงสุด ตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนกว่าจะถึงระยะการเปลี่ยนยางในรอบถัดไป ที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวไทยเลือกใช้ยางรถยนต์โดยพิจารณาจากคุณสมบัติของยางใหม่เพียงอย่างเดียว โดยไม่สามารถรู้ถึงสมรรถนะของยางหลังจากใช้งานไปแล้วว่าเป็นอย่างไร

และเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ายางมิชลินสามารถทำได้จริงตามที่สื่อสารออกไป เราจึงได้จัดการทดสอบเพื่อให้ลูกค้าและสื่อมวลชนได้สัมผัสถึงสมรรถนะของยางใหม่ และยางที่ใช้ไปแล้วของมิชลินเทียบกับแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ โดยทำการทดสอบวัดระยะเบรกบนพื้นถนนเปียก ซึ่งผลการทดสอบพบว่าถ้าเป็นยางใหม่ มิชลินมีระยะเบรกที่สั้นกว่าค่าเฉลี่ยของแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ถึง 2.5 เมตร(1)

และยิ่งถ้าเป็นยางที่ใช้ไปแล้วจนมีความลึกร่องดอกยางเหลือ 2 มิลลิเมตร มิชลินจะมีระยะเบรกสั้นกว่าค่าเฉลี่ยของแบรนด์อื่น ๆ ถึง 5.1 เมตร(1) เลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยตลอดอายุการใช้งานของยาง ซึ่งเป็นสิ่งที่มิชลินให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก อีกทั้งยางตระกูล PRIMACY ยังได้ชื่อว่าเป็นที่สุดของยางนุ่มเงียบ(2) ที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายอย่างแท้จริง”

คุณวิเนตเสริมถึงเรื่องกลยุทธ์ของมิชลินจากนี้ว่า “นอกเหนือจากเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มิชลินให้ความเป็นสำคัญมาโดยตลอด เรายังให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างแบรนด์และการสื่อสารกับผู้บริโภค โดยมิชลินจะปรับรูปแบบการสื่อสารให้ทันสมัยขึ้น และมีการนำเทคโนโลยีในการสื่อสารใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อให้เข้ากับยุคดิจิทัลในปัจจุบัน ที่สำคัญการสื่อสารที่ไปถึงผู้บริโภคต้องมีความซื่อสัตย์ จริงใจ และทำได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่มิชลินยึดถือมาโดยตลอด

นอกจากนี้ มิชลินยังเน้นในการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภค อาทิ การจัดทำ มิชลิน ไกด์’ คู่มือการจัดอันดับร้านอาหารและแนะนำที่พักระดับโลก ฉบับประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคในไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เป็นการตอกย้ำถึงแบรนด์มิชลินให้เป็นที่น่าจดจำต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง”


หมายเหตุ

(1)ผลการทดสอบเปรียบเทียบระยะเบรกบนพื้นเปียก จากความเร็ว 80 ถึง 0 กม./ชม. ของยางใหม่และใกล้หมดดอกของ MICHELIN PRIMACY 4 และผลเฉลี่ยของยางชั้นนำยี่ห้ออื่น ดำเนินการทดสอบโดย TUV Rheinland Thailand Ltd, ตามคำขอของมิชลินในเดือน มกราคม 2561 ด้วยรถยนต์ Honda Accord และยางขนาด 225/50R17

(2)ผลการทดสอบเสียงภายในห้องโดยสาร ที่ความเร็ว 50 ถึง 70 กม./ชม. และผลการประเมินความนุ่มสบาย ที่ความเร็ว 30 ถึง 50 กม./ชม. ดำเนินการทดสอบโดย TUV Rheinland Thailand Ltd, ตามคำขอของมิชลินในเดือน มกราคม 2561 ด้วยรถยนต์ Honda Accord และยางขนาด 225/50R17

รายละเอียดเพิ่มเติม www.michelin.co.th