เปิด 8 รัฐสวรรค์นักเสี่ยงโชค! ลุ้นรับแจ็คพ็อต ‘Mega Millions’ แบบปลอดภาษี

ช่วงกลางเดือนแบบนี้ หลาย ๆ คนคงกำลังรอลุ้นรางวัลจากสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับบรรดานักเสี่ยงโชคทั้งหลายที่ต่างก็รอคอยเงินรางวัลที่เปรียบเสมือนเป็นอีกหนึ่งช่องทางหารายได้เสริมที่รวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ แถมยังเป็นโอกาสสู่เส้นทางการเป็นเศรษฐีแบบรวบรัดอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความสนใจกับการเสี่ยงโชคจากล็อตเตอรี่เป็นจำนวนมาก

 

แต่หากว่าเงินรางวัลจากฝั่งไทยยังไม่ดึงดูดพอ ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับ ‘Mega Millions’ จากฝั่งอเมริกาที่มีเงินรางวัลสูงถึงหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว และในวันนี้ Business+ จะพาไปทำความรู้จักกับ ‘Mega Millions’ ว่าคืออะไร และทำไมถึงเป็นที่นิยม

 

‘Mega Millions’ คือล็อตเตอรี่ที่จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1996 และเริ่มการจับสลากครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กันยายน ปี ค.ศ.1996 โดยเริ่มแรกมีเพียง 6 รัฐที่เปิดให้เข้าร่วมการจับสลากนี้ ได้แก่ จอร์เจีย, อิลลินอยส์, แมรี่แลนด์, แมสซาชูเซตส์, มิชิแกน, และเวอร์จิเนีย ขณะที่ในปัจจุบันได้เปิดจำหน่ายใน 47 เขตอำนาจศาล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงมากขึ้น

 

สำหรับรูปแบบการเล่น ‘Mega Millions’ คือ ผู้เล่นต้องเลือกเลข 5 ชุดจาก เลขตัวเลขตั้งแต่ 1-70 และอีก 1 ชุดจากตัวเลข 1-25 ใน Mega Ball โดยเลข 5 ชุดแรกไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ โดยสามารถซื้อ ‘Mega Millions’ ด้วยราคาเพียง 2 ดอลลาร์ฯ เท่านั้น ส่วนการออกรางวัลนั้น ‘Mega Millions’ จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อสุ่มเลือกหมายเลขจำนวน 5 หมายเลข ตั้งแต่เลข 1-70 (ลูกบอลสีขาว) และสุ่มอีก 1 หมายเลขตั้งแต่เลข 1-25 (ลูกบอลขนาดใหญ่) โดยหากเลข 5 ชุดแรกตรงกับเลขที่ออกรางวัล ซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ ผู้เล่นจะได้รับเงิน 1 ล้านดอลลาร์ แต่หาก 5 ชุดแรกถูกรางวัล และชุดที่ 6 ตรงกับ Mega Ball ก็จะได้รับรางวัลแจ็คพ็อต ส่วนรางวัลมูลค่าน้อยสุดคือ 2 ดอลลาร์

 

‘Mega Millions’ จับรางวัลทุกวันอังคารและวันศุกร์ในเวลา 23.00 น. ตามเวลาภาคตะวันออก หรือ Eastern Standard Time ซึ่งจะช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 12 ชั่วโมง ยกเว้นในช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน ที่จะมีการปรับเลื่อนเวลาในช่วงฤดูร้อนอีก 1 ชั่วโมงหรือที่เรียกว่า Daylight Saving Time ซึ่งจะมีผลให้เวลาของอเมริกาช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 13 ชั่วโมง

 

ในส่วนของเงินรางวัลนั้น ‘Mega Millions’ มีเงินรางวัลแจ็คพ็อตเริ่มต้นที่ 40 ล้านดอลลาร์ และจะเพิ่มขึ้น 5 ล้านดอลลาร์ ทุกครั้งที่มีการจับรางวัลและไม่มีผู้ที่ได้รับรางวัลแจ็คพ็อต สำหรับรางวัลแจ็คพ็อตที่ใหญ่ที่สุดของ ‘Mega Millions’ จนถึงปัจจุบัน มีมูลค่า 1.586 พันล้านดอลลาร์ จากการจับรางวัลเมื่อวันที่ 13 มกราคม ปี ค.ศ. 2016 โดยมีตั๋วที่ถูกรางวัลจำนวน 3 ใบ จากผู้ซื้อในรัฐเทนเนสซี, ฟลอริดา และแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีผู้ถูกรางวัลแจ็คพ็อตมูลค่า  1.35 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินรางวัลดังกล่าวเป็นการสะสมหลังจากการออกรางวัลในระยะเวลา 3 เดือน หรือก็คือการออกรางวัลจำนวน 25 ครั้ง ซึ่งยังไม่พบผู้ถูกรางวัลใหญ่ ทำให้เงินรางวัลนี้พุ่งสูงเป็นอันดับที่ 2 ของเงินรางวัลแจ็คพ็อตจาก ‘Mega Millions’ นับตั้งแต่ก่อตั้งมาเลยทีเดียว

 

สำหรับการรับเงินรางวัลแจ็คพ็อตจาก ‘Mega Millions’ ผู้ที่ถูกรางวัลสามารถเลือกรับเงินรางวัลได้ 2 แบบ คือ 1. แบบแบ่งจ่ายเป็นงวดรายปี โดยผู้ถูกรางวัลจะได้รับเงินรางวัลเป็นรายปี ต่อเนื่องเวลา 30 ปี 2.รับเป็นเงินสดก้อนเดียว แต่หากเลือกรับเงินรางวัลเป็นเงินสดก้อนเดียว ผู้ถูกรางวัลจะได้รับเงินในจำนวนที่ต่ำกว่าเงินรางวัลจริง เนื่องจากการหักภาษี ณ ที่จ่ายนั่นเอง

 

โดยเรื่องของภาษีจากการถูกรางวัลแจ็คพ็อตนี้ ผู้ถูกรางวัลแจ็คพ็อตจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลกลางล่วงหน้าในอัตรา 24% ของจำนวนเงินรางวัล นอกจากนี้ ยังมีภาษีจากรัฐที่เป็นผู้ออกตั๋ว ซึ่งจะมีอัตราที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3-6% ยกเว้นที่นิวยอร์กที่มีอัตราสูงถึง 10.9% ซึ่งเป็นรัฐที่เรียกเก็บเงินมากที่สุดจากทุกรัฐที่เข้าร่วมในการจับสลาก ‘Mega Millions’

 

อย่างไรก็ดี มีเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเกี่ยวกับการเลือกซื้อตั๋วจากรัฐที่ ‘ปลอดภาษี’ ซึ่งจะทำให้ผู้ถูกรางวัลได้รับเงินรางวัลมากกว่ารัฐอื่น ๆ เนื่องจากไม่ต้องจ่ายภาษีในส่วนของรัฐหากซื้อจากรัฐเหล่านี้ ได้แก่ 1.แคลิฟอร์เนีย 2.ฟลอริดา 3.นิวแฮมป์เชียร์ 4.เซาท์ดาโคตา 5.รัฐเทนเนสซี 6.เท็กซัส 7.วอชิงตัน 8.รัฐไวโอมิง

 

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเสี่ยงโชคจาก ‘Mega Millions’ ถือเป็นข่าวดีสำหรับต่างชาติอย่างเรา เนื่องจากในการซื้อตั๋ว ‘Mega Millions’ ไม่ได้จำกัดเฉพาะพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น มีแค่เพียงข้อกำหนดว่าผู้เล่นต้องอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยสามารถซื้อล็อตเตอรี่ได้ในทุกรัฐที่ออกล็อตเตอรี่ แม้ว่าจะไม่ได้อาศัยหรือพำนักในรัฐมีการออกล็อตเตอรี่ หรือแม้แต่ไม่ได้พำนักหรืออาศัยในสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีกฎเกณฑ์ที่ต้องคำนึงถึง คือ ขณะที่ซื้อตั๋ว ‘Mega Millions’ ผู้ซื้อจะต้องอยู่ในสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถซื้อล็อตเตอรี่ได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจากข้อนี้ ส่งผลให้การซื้อล็อตเตอรี่ออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

 

ด้วยจำนวนเงินรางวัลที่ถูกมากขนาดนี้ แม้ว่าจะมีโอกาสถูกรางวัลไม่มากนัก แต่หากใครมีโอกาสได้เดินทางไปที่สหรัฐฯ แล้วลองซื้อ ‘Mega Millions’ เพื่อเสี่ยงโชคดูสักครั้ง ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย และอย่าลืมสำรวจรายชื่อรัฐที่ปลอดภาษีในการรับเงินรางวัล เพื่อให้ได้รับเงินรางวัลอย่างคุ้มค่าที่สุดนั่นเอง

 

 

ที่มา : Mega Millions, CNBC, The Guardian, ThaiPublica

 

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

 

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #MegaMillions #lottery #ล็อตเตอรี่ #เสี่ยงโชค #นักเสี่ยงโชค #แจ็คพ็อต #แจ็กพอต #JACKPOT