“ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย”หรือ Fi Asia บทพิสูจน์ของนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าการส่งออก ก้าวแรกของครัวโลกสู่ Food Innovation hub
สถานการณ์ราคาพืชผลทางการเกษตรจะยังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แน่นอนว่าเมื่อพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ย่อมส่งผลต่อการส่งออกของไทยด้วย เพราะที่ผ่านมาจนถึงปัจุบัน ภาคการส่งออกของไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่
แม้ว่าไทยจะยังรักษาระดับการเติบโตได้และคาดว่าปีนี้มีมูลค่าการส่งออกกว่า 900000ล้านบาทก็ตาม แต่สิ่งที่น่ากังวลประเทศไทยยังคงเน้นการส่งออกในเชิงปริมาณเป็นหลัก ผลที่ตามมาคือไทยต้องส่งออกในปริมาณที่มากแต่มูลค่าน้อย ขณะที่การแข่งขันทางด้านปริมาณกำลังถูกคู่แข่งอย่าง “เวียดนาม” ที่กำลังถูกจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะเวียดนามกำลังเร่งฝีเท้าและพัฒนาสินค้าส่งออก Commodity ที่เน้นเชิงปริมาณ ตีคู่ขึ้นมารวดเร็ว และด้วยความได้เปรียบทั้งการเป็นฐานกำลังการผลิตที่สำคัญของจีน และไต้หวัน รวมทั้งสัญญาการค้าที่เสรีกว่าไทย ทั้งนี้เวียดนามมีสัญญาการค้าเสรีในมือถึง 17 ฉบับ ขณะที่ไทยมีสัญญาการค้าเสรีเพียง 6 ฉบับเท่านั้น
แน่นอนว่าถ้าหากไทยยังคงมุ่งเน้นการส่งออกเชิงปริมาณเช่นที่ผ่านมา ในอนาคตอันใกล้ สถานการส่งออกของไทยจะต้องตกที่นั่งลำบากและตกเป็นรองเวียดนามอย่างแน่นอน ทางออกเดียวสำหรับประเทศไทยคือการเปลี่ยนรูปแบบการส่งออกที่เน้นปริมาณเป็นการส่งออกที่เน้นมูลค่า หรือส่งออกสินค้าเชิงนวัตกรรมเช่นเดียวสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ไทยส่งออกสินค้าในปริมาณที่ลดลงแต่มูลค่าสูงขึ้น
คำถามคือประเทศไทยควรจะหันมาพัฒนาสินค้าส่งออกในรูปแบบใด ซึ่งเมื่อย้อนมาดูสัดส่วนการส่งออกที่สำคัญของไทยจากรายงานของฝ่ายวิจัยและข้อมูล สถาบันอาหาร จะเห็นว่า จากรายการสินค้าส่งออกหลักทั้ง 8 รายการคือ ข้าว น้ำตาล ไก่ กุ้ง ปลาทูน่ากระป๋อง แป้งมันสำปะหลัง และเครื่องปรุงรส พบว่า
สินค้าส่งออกที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น คือ น้ำตาลทราย ไก่ และเครื่องปรุงรส
สินค้าส่งออกที่มีปริมาณขยายตัวแต่มูลค่าลดลงคือ กุ้ง
สินค้าส่งออกที่มีปริมาณส่งออกลดลงแต่มูลค่าเพิ่มขึ้นคือ สัปรดกระป๋อง และแป้งมันสำปะหลัง
สินค้าส่งออกที่มีปริมาณและมูลค่าหดตัวลดลงคือ ข้าวและปลาทูน่ากระป๋อง
รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดงาน
“ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย 2017” งานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มระดับเอเชีย เปิดเผยว่า ตลาดส่งออกของไทยหลักเริ่มเปลี่ยนจากญี่ปุ่น มาเป็นตลาดใน “อาเซียน” ซึ่งทุกประเทศต่างมีพื้นเพวัตถุดิบและพืชผลทางการเกษตรที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นประเทศไทยจะส่งออกแบบเดิมไม่ได้ แต่ต้องนำเอานวัตกรรมเข้ามาพัฒนาและแปรรูปสินค้าแทนและส่งออกในเชิงมูลค่าแทนการส่งออกที่เน้นปริมาณ
“ ในฐานะที่ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้การเอานวัตกรรมมาช่วยเพิ่มมูลค่าเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้จากสิงที่เกิดในงาน “ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย”หรือ Fi Asia ที่ผ่านมาของเรา ที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่มาจากยุโรป โดยนำเข้าวัตถุดิบพื้นฐานจากเราก่อนจะนำเข้ากระบวนการผลิตโดยน้ำนวัตกรรมเข้ามาช่วยแล้วส่งสินค้ากลับเข้ามาขายในบ้านเราในมูลค่าที่สูงกว่า เช่นนำน้ำมันปาล์มจากไทยและมาเลเซีย กลับไปเข้าผ่านกระบวนการต่างๆ สกัดเป็นอิมัลติไฟเออร์ หรือในรูปแบบผงเพื่อใช้ผสมในอาหารแล้วส่งกลับมาขายให้เราในราคาที่เพิ่มขึ้นกว่า 100เท่าก็มี ดังนั้นเราเชื่อว่านวัตกรรมช่วยได้แต่การที่จะทำให้เมืองไทยไปถึงจุดนั้น จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยพัฒนา แต่ปัจุบันเรานำเข้า“ส่วนผสมอาหาร” ซะส่วนใหญ่
และที่สำคัญคือ สินค้าจะไม่ถูกนำไปใช้ ถ้าไม่เกิดการทดลอง ดังนั้นงาน “ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย”หรือ Fi Asia จึงเปรียบเสมือนตัวกลางที่ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกัน นอกจากนี้เรายังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของผู้ประกอบการไทย เพราะหลังๆมาจะเห็นผู้ประกอบการ อินกรีเดียนท์ แบรนด์ไทยมาออกงานมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการฝั่งยุโรปน้อยลง นี่เป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับวิชั่นใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการยกระดับประเทศไทยจากครัวของโลกสู่การเป็น Food Innovation hub ”
จากคำกล่าวของ รุ้งเพชร ชี้ให้เห็นว่างาน “ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย”หรือ Fi Asia จะเป็นบทพิสูจน์ที่ชี้ให้เห็นชัดว่า นวัตกรรมมีความสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าส่งออกได้อย่างมหาศาลแม้จะส่งออกในปริมาณที่น้อยลงก็ตาม
รุ้งเพชร กล่าวเสริมอีกว่า ตลาด CLMV ได้ขยับอันดับขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับ 1 ของไทย ด้วยสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 15.2 แซงหน้าตลาดญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนส่งออกร้อยละ 13.9 โดยถือว่า CLMV และ CLMV+3 คือตลาดที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มความต้องการอาหารไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน คือ อาหารพร้อมรับประทาน ของขบเคี้ยว และเครื่องปรุงรส
และเพื่อเป็นการสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารของไทยได้พัฒนาศักยภาพ อัพเดตข้อมูลอุตสาหกรรมอาหาร และเจรจาธุรกิจในระดับนานาชาติ ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จึงได้จัดงานฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย 2017 หรือ งานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ขึ้นในระหว่างวันที่ 13-15 กันยายน 2560
โดยในครั้งนี้ เป็นการจัดงานครั้งที่ 22 หลังจากประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากกรุงจากาตาร์ อินโดนีเซีย เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการจัดงานสลับกันในระหว่างประเทศที่ตั้งเป้าเป็นครัวโลกกับประเทศที่มีตลาดและผู้บริโภคจำนวนมากที่สุด ซึ่งในปีนี้ มีผู้ตอบรับเข้าร่วมแสดงงานแล้วกว่า 700 ราย จาก 56 ประเทศทั่วโลก และคาดหวังผู้เข้าชมงานกว่า 17,000 ราย โดยงานนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการไทยที่มีแผนจะพัฒนาต่อยอดธุรกิจ หรือต้องการสร้างคู่ค้าระดับนานาชาติ
สำหรับไฮไลท์ของงาน Fi Asia จะมุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมในการใช้ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการให้เกิดมูลค่ามากยิ่งขึ้น ทั้งการจัด Innovation Zone โซนจัดแสดงนวัตกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มจากเทรนด์อาหารที่น่าสนใจ การประกาศผลการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ การจัดสัมมนาวิชาการนานาชาติในหัวข้อการพัฒนานวัตกรรมส่วนผสมอาหารสำหรับสังคมผู้สูงอายุ พร้อมด้วยหัวข้ออื่นๆ ที่น่าสนใจ