การปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล หลายบริษัทอาจจะยังไม่เริ่ม เพียงเพราะคิดว่าการเริ่มต้นนั้นแสนยากเย็น แต่เมื่อเทคโนโลยีนั้น เข้ามามีบทบาทสำคัญมากมายในหลาย ๆ ด้าน ทำให้ต้องเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง เพราะไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลขององค์กร การติดต่อสื่อสารกับลูกค้า กับพนักงาน และการบริหารจัดการ ทั้งหมดเหล่านี้เมื่ออยู่บนรูปแบบแพลตฟอร์มดิจิทัลก็จะสามารถบริหารจัดการได้ง่ายและมีระบบระเบียบมากขึ้น
เรียนรู้จากปาก ‘นูทานิคซ์’ ผู้นำไฮบริดคลาวด์
การบริหารจัดการองค์กรแบบดั้งเดิมนั้น ในอนาคตจะไม่สามารถตอบสนองต่อรูปแบบการแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมได้อีกต่อไป ดังนั้นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้นอกจากจะทำให้ก้าวทันข้อมูล และเทคโนโลยีแล้ว ยังทำให้ไม่เกิดการเสียโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้หลายองค์กรควรเริ่มที่จะปรับตัวให้เป็นองค์กรดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งรูปแบบขององค์กรดิจิทัล คือ องค์กรที่เกือบทุกส่วนขององค์กรอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งภายในและภายนอก ซึ่งประกอบด้วยในส่วนที่ติดต่อกับลูกค้า ส่วนของการบริหารจัดการ รวมไปถึงการใช้เครือข่ายดิจิทัล พูดง่าย ๆ คือการใช้ดิจิทัลที่ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร หรือเชื่อมโยงเข้ากับองค์กรอื่นเป็นจำนวนมาก
โดยการจะปรับองค์กรสู่องค์กรดิจิทัลนั้น สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ คือ การจัดเก็บข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์หรือพยากรณ์ข้อมูลในอนาคต หรือแม้กระทั่งการจัดเก็บรักษาข้อมูล ก็สามารถจัดเก็บเอาไว้ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ และมีการควบคุมความปลอดภัยเป็นอย่างดี ซึ่งระบบจัดเก็บข้อมูลที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีขององค์กรดิจิทัลคงหนีไม่พ้น ‘คลาวด์’ หรือ ชุดเซิร์ฟเวอร์และกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ศูนย์ข้อมูลที่กระจายอยู่ทั่วโลกที่เราสามารถเก็บข้อมูลได้ นั่นเอง
ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์และโซลูชันด้านการจัดการดาต้าเบส เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้ข้อมูลกลายเป็นขุมทรัพย์อันมีค่ามหาศาลต่อธุรกิจ โดยผลสำรวจล่าสุดของนูทานิคซ์ระบุว่าร้อยละ 43 ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า การใช้ไฮบริดคลาวด์มีความสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านไอทีขององค์กร แต่ในทางตรงข้าม หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ข้อมูลนั้นจะเป็นอันตรายต่อธุรกิจได้อย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน ดังนั้นการปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่องค์กรดิจิทัลนอกจากจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลมากเช่นกัน
4 ขั้นตอน เปลี่ยนธุรกิจรับเทรนด์โลก
การนำเอาเทคโนโลยี Cloud Computing เข้ามาใช้ภายในองค์กรเพื่อให้การทำงานขององค์กรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการทำงานจากทุกที่ทุกเวลากำลังกลายเทรนด์ใหญ่ของโลก การปรับปรุงทักษะพนักงานใหม่เพื่อให้ตอบสนองต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและเรียกร้องความรู้ใหม่ ๆ มากขึ้น รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้ามาช่วยทำงาน เพื่อที่พนักงานจะสามารถโฟกัสกับงานที่เน้นใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหา อื่นๆ ได้มากขึ้น
.
นอกจากนี้ยังมีการใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ในการค้นคว้าหาวิธีแก้ Pain Points ของลูกค้า การปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้รับกับความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น และการปรับสภาพองค์กรให้รองรับการทำงานแบบ Remote-Working เป็นต้น
.
โดยขั้นตอนการวาง Digital Transformation Roadmap นั้นมีคร่าว ๆ ด้วยกัน 4 ขั้นตอน
.
1.Current statement assessment หรือการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันขององค์กร ในทุกๆด้าน
.
- Future Vision ที่อยากเห็นในอนาคต โดยแบ่ง Vision เป็น 4 tracks คือ คน, กระบวนการ, Technology, Content เนื้อหาที่จะส่งมอบ
.
- Systemic gaps ประเมินช่องวางระหว่างปัจจุบันและวิสัยทัศน์ที่อยากให้เกิด
.
- กำหนด Business Goal และแผนกลยุทธ์ (Roadmap) ในแต่ละ Track
.
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรู้ในการทำ Digital Transformation เท่านั้นซึ่งใครที่อยากทราบรายละเอียดหรือรับความรู้มากกว่านี้ เราขอแนะนำเลยว่าต้องเข้าฟังงาน THAILAND DIGITAL TRANSFORMATION WEEK 2021 หัวข้อ “Changing the digital framework to new normal era ปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัลในยุคปกติใหม่” ซึ่งจะได้รับข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริหาร คุณทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำ ประเทศไทย นูทานิคซ์ ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่
.
ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาได้ที่
https://seminar.thailanddt.com/seminar/main_map
.
.
#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #THAILANDDIGITALTRANSFORMATIONWEEK2021