ลวงโลก หรือ ไม่ลวงโลก!! Tether กับสถานะ Stablecoin อันลึกลับ (ตอนที่ 2)

ถ้าคุณยังคงคิดว่า Bitcoin ในฐานะ Peer-to-Peer Currency มีวิธีที่ชาญฉลาดเพื่อส่งผ่านมูลค่าโดยปราศจากตัวกลาง (แต่ Tether กับเหมือนเป็นตัวกลางเสียเอง) แต่คนจำนวนมากไม่ได้ใช้คริปโทเคอร์เรนซี่เพื่อซื้อสินค้าและบริการ พวกเขาซื้อขายมันบนการแลกเปลี่ยนและพนันบนมูลค่าของพวกมัน และหวังว่าจะทำสิ่งที่เรียกว่า A Real Money Score โดยการค้นหา Dogecoin ตัวถัดไป ซึ่งราคาพุ่งกว่า 4,191% ในปีนี้ จากการทวิตข้อความในทวิตเตอร์ของนายอีลอน มัสก์ หรือเหรียญ Solona ที่พุ่งขึ้นถึง 9,801% ในปี 2021 สำหรับปรากฏการณ์ที่แสนจะไร้เหตุผลทั้งหมด

ให้ลองจินตนาการดูว่าตลาดแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี่เป็นคาสิโนขนาดใหญ่ และจำนวนมากของพวกมันโดยเฉพาะนอกสหรัฐไม่สามารถถือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ เพราะธนาคารจะไม่เปิดบัญชีให้พวกเขา เพื่อเฝ้าระวังการฟอกเงิน เมื่อคุณเข้าไปในสถานที่เล่นพนันพวกเขาต้องซื้อ Tether เป็นอย่างแรก มันราวกับว่าเป็นห้องโป๊กเกอร์ในมอนทิ คาร์โล ซึ่งพนักงานจะพาคุณไปยังโต๊ะศูนย์กลางก่อนเพื่อแลกชิพ

ในมุมมองของเทรดเดอร์รายใหญ่อย่างนาย Dan Matuszewski ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง CMS Holdings LLC ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี่ มองว่า “พวกเขามีการซื้อและขาย Tether มูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นประจำ และถูกมองว่าเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม มันถูกควบคุมโดยมาเฟียจีน รวมไปถึงการที่ CIA ใช้ในการโยกย้ายเงิน ที่รัฐบาลอนุญาตให้มันใหญ่เพื่อใช้ติดตามอาชญากรได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไว้ใจ Tether พวกเขาจำเป็นต้องใช้ Tether เพื่อค้าขายด้วยเงินจำนวนมากเพื่อขุดลึกลงไป”

การเริ่มต้นของ Stablecoin

ในช่วงปี 1800 นักล่าสัตว์ นักวางกับดัก และคาวบอยที่ชายแดนอเมริกาเผชิญหน้ากับการขาแคลนสกุลเงินมาแล้ว เพราะในเวลานั้นสหรัฐยังไม่มีการใช้เงินกระดาษ จะมีแต่ก็เพียง เหรียญทองและเงินเท่านั้น เนื่องจากผู้นำในช่วงนั้นกลัวเงินเฟ้อ ซึ่งสุดท้ายเมื่อเกิดการขาดแคลนขึ้นมา มันก็มักจะนำมาซึ่งการขโมยที่ชั่วร้าย

โดยในช่วงนั้นบางรัฐได้อนุญาตให้ธนาคารพิมพ์ธนบัตรของตัวเองได้และสามารถแลกคืนเป็นเหรียญทองและเงินได้ตามต้องการ แต่ก็นั้นแหละธนาคารทั้งหลายจะไม่ถือเงินสำรองที่มีลักษณะคล้ายกัน ๆ เอาไว้ สถาบันการเงินเหล่านั้นจึงถูกเรียกว่า Wild Cats เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยที่ผู้กู้เงินจะนำเอาธนบัตรไปแลกเปลี่ยนในสาขาถิ่นทั้งหลายซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่มีสัตว์ป่าร้อนเร่

แน่นอนว่าธนาคารจำนวนมากล้มเหลว มันเป็นการล่อใจจากผู้เก็งกำไรที่ไม่ซื่อสัตย์ เกือบ 2 ศตวรรษหลังจากนั้น การล่อใจเดิม ๆ ปรากฎขึ้นอีกครั้ง บร็อค เพียร์ซ (Brock Pierce) ชื่อนี้คือดีตนักแสดงภาพยนต์เรื่อง the Mighty Ducks ภายใต้บทบาทตอนหนุ่มของ เอมิลิโอ เอสเตเวซ (Emilio Estevez) หลังจากนั้นเขาได้ไปประสบความสำเร็จกับการเป็นหน้านายสิ่งของต่าง ๆ เกี่ยวกับวีดีโอเกม และเขาก็ได้ว่าจ้างผู้คนจำนวนมาก

โดยหนึ่งในนั้นคือที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในอนาคตอย่างนายสตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) นายบร็อค เพียร์ซ เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่หลงใหลบิตคอยน์ที่กล้าลงทุนด้วยเงินจริง ๆ “ผมไม่ใช่ผู้ประกอบการมือสมัครเล่นที่ขว้างปาลูกดอกอยู่ในที่มืด” เขาบอกกับทาง Bloomberg ซึ่งตอนนี้เขากำลังมีทริปที่ต้องเดินทางไปโปรโมทบิตคอยน์ในประเทศเอลซัลวาดอร์ “ฉันคือผู้ช่วยสำหรับการสร้างสรรค์ ฉันแค่พยายามทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้”

นายบร็อค เพียร์ซ บอกว่าเขามีไอเดียเรื่อง Stablecoin ตั้งแต่ปี 2013 พร้อมกับโปรแกรมเมอร์อย่างนายเคร็ก เซลลาร์ส (Craig Sellars) เพื่อดำเนินการบริษัท นอกจากนี้เขายังรับคนเพิ่มอีกไม่ว่าจะเป็นนาย Reeve Collins ซึ่งมีจุดเด่นที่น่าสงสัยในการประดิษฐ์โฆษณาที่ขึ้นมาได้เว็บบราวเซอร์ รวมไปถึงนาย Phil Potter ซึ่งเป็นผู้บริหารที่ บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) ซึ่งเป็นบริษัทตลาดรับแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ในต่างประเทศ ที่กำลังทำโครงการคล้าย ๆ กัน และชื่อของนาย Phil Potter ก็ถูกปรับและนำมาใช้เป็นชื่อของ Tether ทำงานอยู่ที่บังกะโลใน แซนตามอนิกา พวกเขาเคยนำโครงการไปเสนอให้กับบริษัทร่วมลงทุนของ Sequoia Capital, Goldman Sachs Group Inc. และอื่น ๆ แต่ไม่มีใครสนใจ

ปัญหาคือ Tether ก็เหมือนคริปโทเคอร์เรนซี่อื่น ๆ มันได้ทำลายกฎเกณฑ์ทุกอย่างของระบบธนาคาร ธนาคารจะรักษาการติดตามต่อทุกคนซึ่งมีบัญชีและที่ซึ่งพวกเขาส่งเงินของพวกเขาไป และอนุญาตให้หน่วยที่บังคับใช้กฎหมายสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ในกรณีอาชญากรรม Tether มีการยืนยันตัวตนของผู้คนที่ซื้อบิตคอยน์โดยตรงจากบริษัท แต่ทันทีที่สกุลเงิน (Currency) เข้าสู่มือของพวเขามันจะถูกถ่ายโอนไปโดยไม่มีการระบุชื่อ (ชื่อของผู้ส่งและรับถูกเข้ารหัส) นั้นทำให้พ่อค้ายาเสพติดซึ่งครอบครองหลายร้อยล้าน Tether ในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ สามารถส่งเงินไปให้ผู้ก่อการร้ายได้โดยไม่มีใครรับรู้

ความกังวลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น นาย Zhao Dong ซึ่งเป็นเทรดเดอร์ Tether ที่มีชื่อเสียงในประเทศจีนกำลังใช้เวลา 3 ปีในคุก สำหรับข้อหาการใช้สกุลเงินเพื่อฟอกเงิน 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากคาสิโนที่ผิดกฎหมายหลายแห่ง ในเดือนพฤษภาคม 2013 ผู้สร้าง Stablecoin ดั้งเดิมอย่าง Liberty Reserve ถูกจับกุมในประเทศสเปนสุดท้ายสารภาพผิดต่อข้อหาสมรู้ร่วมคิดฟอกเงิน ผู้ฟ้องร้อง สกุลเงินนิรนามออนไลน์ได้ดึงดูดเหล่านักต้มตุ๋น หัวขโมย แฮกเกอร์ และอาชญากรอื่น ๆ “สหรัญก้าวเข้ามาหา Tether ในเวลาที่เหมาะสม” นาย Arthur Budovsky ผู้ก่อตั้ง Liberty Reserve กล่าว ซึ่งปัจจุบันเขาติดคุกอยู่ในรัฐฟลอริดา

โอกาสแบบนี้อาจเป็นสาเหตุให้ทั้งนายบร็อค เพียร์ซ และนาย Reeve Collins (ถือเป็น CEO คนแรกของ Tether) ยอมแพ้ต่อ Tether ในช่วงปี 2015 แต่ทางนาย Phil Potter ซึ่งเป็นผู้บริหารที่ บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) นั้นกับมีความกังวลในเรื่องนี้น้อยกว่า (ความชอบด้วยกฎหมายของมัน) เพราะขณะทีเขาพูดตอนปี 2019 บน Podcast การแลกเปลี่ยนดำเนินไปแล้วในพื้นที่สีเทา หัวหน้าของเขาคือ นาย Giancarlo Devasini ซึ่งตำแหน่งของเขาเป็น CFO (บนกระดาษ) แต่ลูกค้าของเขาบอกว่าเขาคือผู้รับผิดชอบตัวจริง นาย Phil Potter และนาย Giancarlo Devasini มีความเห็นพ้องที่จะซื้อพันธมิตรของพวกเขาออกจาก Tether (รวบอำนาจเด็ดขาด) สำหรับอะไรที่พวกเขาจ่ายนั้น น้อยว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตัวนายบร็อค เพียร์ซ ก็บอกว่าเขาได้ยอมให้หุ้นของเขาเป็นอิสระ

ในวัย 50 ปี นาย Devasini ถือว่าแก่มากเมื่ออ้างอิงจากมาตรฐานของกลุ่มชาวคริปโทฯ บันทึกทรัพย์สินที่แสดงออกมานั้นกระจายตัวอยู่หลากหลายที่ไม่ว่าจะเป็น เมืองมิลาน เมืองโมนาโก ที่ซึ่งบ้านของเขาสามารถมองลงไปเห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นาย Devasini ถือว่าคนที่ดูดี สามารถสร้างความประทับใจได้ตั้งแต่ผมเห็นเขา ในปี 1992 เขาได้ยุติบทบาทอาชีพศัลยกรรมตกแต่ง โดยเหตุผลที่ว่า “ทั้งหมดในงานของผมดูเหมือนจะเป็นแผนการร้าย เป็นการหาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้องและเพ้อฝัน”

หลังจากนั้นนาย Devasini ก็ได้เข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ระดับล่างและต่อด้วยการนำเข้า Memory Chips และ Step-Top TV Boxes ต่อจากนั้นก็มาสู่ ช้อปปิ้งออนไลน์ในอิตาลี การได้รับใบอนุญาตสำหรับเทคโนโลยีป้องกันการคัดลอกสำหรับ DVD ผู้ใหญ่

ในปี 2012 เขาลงทุนใน บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) ซึ่งตอนนั้นมีเริ่มต้นใหม่ โดยมันถูกสร้างจากหนุ่มชาวฝรั่งเศสซึ่งคัดลอกโค้ดโปรแกรมจากกิจการที่ปิดไปแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นหัวหน้าบริษัท (ที่มาที่ไปชวนให้งุนงงดีแท้) เมื่อเทียบกับตัวกลางแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ซึ่งมักตั้งใจพังทลายหลังการขโมยหรือการสูญเสียเงินทุนของลูกค้าทั้งหลาย บิทฟิเนกซ์ ถือว่าค่อนข้างไว้วางใจได้ โดยในปี 2016 เงิน 3 ส่วนจากทั้งหมดถูก แฮกเกอร์ขโมยไป แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จ่ายเงินจำนวนนี้คืนลูกค้า

ในช่วงเริ่มทั้ง บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) และ Tether ต้องต่อสู้เพื่อเข้าถึงกำไรจากระบบการเงินที่ถูกควบคุม การที่พวกเขาต้องมีสถานที่พักตากอากาศนั้นถือเป็นเรื่องราวต่อเนื่องของวิธีแก้ปัญหาแบบขัดตาทัพเพื่อรักษาสถานะการเปิดบัญชีธนาคารของพวกเขาเอาไว้ มีเทรนดเดอร์จำนวนมากบน บิทฟิเนกซ์ และตลาดแลกเปลี่ยนอื่น ๆ เริ่มยอมรับสกุลเงิน Tether มันยากมากที่จะบินใต้การตรวจจับ

โดยมีนาคม 2017 มีเงินมากกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐหมุนเวียนอยู่ใน Tether และอีกเดือนถัดมาธนาคารในไต้หวันซึ่ง บิทฟิเนกซ์ (Bitfinex) และ Tether ใช้งานอยู่ปิดบัญชีของพวกเขา และทิ้งให้ผู้บริหารของนาย Devasini จำนวนมากตกอยู่ในอันตราย ซึ่งพวกเขาได้พิจารณาที่จะเช่าเครื่องบินเหมาลำและลำเลียงเงินสดของพวกเขาออกนอกประเทศ

สุดท้ายพวกเขาไปพบกับบริษัทสตาร์ทอัพใน เปอร์โตริโก (Puerto Rico : เขตปกครองของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งถูกเรียกว่า Noble Bank International LL ซึ่งเต็มใจจะทำงานกับพวกเขา โดยผุ้ก่อตั้งชื่อว่านาย John Betts ซึ่งทีมงานของ Bloomberg เคยพบเขาที่แมนแฮตตัน โดยเขาอธิบายว่า Tether ถือเป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรืออย่างน้อยที่สุดเมื่อเขายังเป็นนายธนาคารของมัน ระหว่างเวลาที่ Tether ได้ฝากเงินกับทาง Noble ทาง Noble ได้ถือจำนวนมากถึง 98% ของเงินสดสำรองของพวเขา พร้อมการรับและตรวจสอบรายงานการเงินต่อเดือนจากบัญชีอื่นของพวกเขา

LINK ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/businessplusonline/posts/4452916824777519

เขียน แปล และเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ที่มา : Bloomberg

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHCuS

#Businessplus #theBusinessplus #นิตยสารBusinessplus #Tether #Stablecoin #คริปโทเคอร์เรนซี่ #cryptocurrency #เงิน #Money #แชร์ลูกโซ่ลวงโลก