รู้จักโมเดลธุรกิจ ‘โรงแรมแฟรนไชส์’ ของแบรนด์ดัง Marriott และ Hilton

เวลาเราได้ยินคำว่า “แฟรนไชส์” เราน่าจะนึกถึงธุรกิจอย่างร้านอาหารหรือร้านกาแฟ แต่รู้หรือไม่ว่า ปัจจุบันมีธุรกิจ “โรงแรมแฟรนไชส์” ที่แบรนด์ดัง ๆ เช่น Marriott และ Hilton ไม่ได้เป็นเจ้าของตึกเอง จ้างพนักงานเอง แต่ขายชื่อแบรนด์แทน

โมเดลธุรกิจดังกล่าว เจ้าของโรงแรมตัวจริงจะเป็นนักลงทุนหรือบริษัทอสังหาฯ ที่ซื้อพื้นที่มาสร้างโรงแรม รวมไปถึงจ้างพนักงานและบริหารจัดการ ส่วนแบรนด์อย่าง Marriott หรือ Hilton แค่ให้ใช้ชื่อ ระบบ และมาตรฐาน แลกกับค่าธรรมเนียมประมาณ 5–15% ของรายได้โรงแรม ไม่นับกรณีที่เจ้าของโรงแรมนั้นจ้างแบรนด์แม่มาบริหารโรงแรมของตัวเอง

ปัจจุบัน โรงแรมภายในเครือ Marriott กับ Hilton มีหลายหมื่นแห่งทั่วโลก แต่บริษัทเป็นเจ้าของพื้นที่และโรงแรมของตัวเองไม่ถึง 1% ที่เหลือเป็นของคนอื่นหมด สะท้อนออกมาจากผลประกอบการของบริษัททั้ง 2 แห่งที่รายได้จากแฟรนไชส์มีมูลค่ามากกว่ารายได้ที่มาจากโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองเป็นเท่าตัว

โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทเจ้าของ Marriott

รายได้จากค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 78,108 ล้านบาท

รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเป็นเจ้าของ 38,444 ล้านบาท

ส่วนบริษัทเจ้าของแบรนด์ Hilton

รายได้จากค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 66,366 ล้านบาท

รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเป็นเจ้าของ 27,943 ล้านบาท

ข้อดีของโมเดลธุรกิจนี้คือ ทางเจ้าของบริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงซื้อและก่อสร้างโรงแรมขึ้นมาใหม่เองก็สามารถขยายแบรนด์ได้ ทำให้ประหยัดงบได้มากขึ้น ด้านเจ้าของโรงแรม ที่ซื้อชื่อของแบรนด์ใหญ่ ๆ มา นอกจากจะได้ชื่อมาติดหน้าตึกแล้ว ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าและระบบหลังบ้านของแบรนด์เหล่านั้น ทำให้สามารถตั้งราคาห้องพักได้เหมาะสมและบริหารจัดการโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

ข้อดีอีกอย่างคือ เจ้าของโรงแรมจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมสมาชิก คะแนนสะสมของแบรนด์ใหญ่ ขณะที่ Marriott กับ Hilton มีสมาชิกมากกว่า 180 ล้านคน โดยคนยอมไปพักโรงแรมในเมืองเล็ก ๆ ก็เพื่อเก็บแต้ม แล้วเอาไปใช้พักห้องหรูในเมืองใหญ่ แบบนี้โรงแรมในตลาดรองเลยได้ลูกค้าเพิ่มจากการใช้ชื่อแบรนด์ใหญ่

อย่างไรก็ตาม แต่โมเดลนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกที่ โรงแรมอิสระในทำเลดัง ๆ บางแห่งทำเงินดีกว่า เพราะตั้งราคาได้อิสระ ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แบรนด์ ในขณะที่ โรงแรมที่เน้นขายลูกค้า Luxury จะไม่ค่อยชอบให้โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์นี้ เพราะยังอยากคุมประสบการณ์ลูกค้าทุกจุด ตั้งแต่สปา ร้านอาหาร ไปจนถึงบริการเฉพาะตัว

 

ที่มา: WSJ, Hilton Worldwide Holdings, Marriott International