ไม่กี่วันที่ผ่านมามีกระแสข่าวจาก คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ‘สาธารณรัฐนิการากัว’ อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราสูงถึง 100% เทียบเท่ากับประเทศจีนเลยทีเดียว หลังจากที่มีการเปิดเผยว่า นิการากัวอาจจะละเมิดสิทธิแรงงาน รวมถึงสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยมีการให้รายละเอียดว่า รัฐบาลนิการากัวอนุญาตให้ใช้แรงงานเด็กและบีบบังคับใช้แรงงาน ตลอดจนการค้ามนุษย์ ดังนั้นจึงได้เสนอให้รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บภาษีสูงถึง 100% สำหรับสินค้าทั้งหมดหรือบางส่วนที่นำเข้าจากนิการากัว อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะระงับผลประโยชน์ทั้งหมดหรือบางส่วนของนิการากัวภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกากลาง-สาธารณรัฐโดมินิกัน (CAFTA-DR) โดยให้มีผลทันทีหรือทยอยดำเนินการภายใน 1 ปี
ซึ่งหากทรัมป์ประกาศใช้คำสั่งนี้จริงจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับ นิการากัว เพราะที่ผ่านมา นิการากัวพึ่งพาการส่งออกและนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นหลัก และยังได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นศูนย์จากสหรัฐฯ สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่ผลิต รวมทั้งสินค้าเกษตรมากกว่าครึ่งหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2549 และยิ่งประเมินจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่างยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจของนิการากัวแย่กว่าเดิมเป็นอย่างมาก
ทีนี้เรามาดูข้อมูลที่น่าสนใจของนิการากัวกันก่อน โดยก่อนที่นิการากัวจะเป็นประเทศที่มีเอกราชอย่างปัจจุบันนี้ เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 19 โดยนิการากัวได้รับเอกราชจากสเปนในปี 1821 แต่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก และแยกตัวออกมาในปี 1838
โดยเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดในอเมริกากลาง แต่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุด และมีอัตราการก่ออาชญากรรมต่ำที่สุดในภูมิภาค โดยรายได้ของประเทศนั้นมาจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้อันดับ 3 เพราะเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ภูเขาไฟและทะเลสาบ ซึ่งกำลังเป็นจุดขายสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามด้านเศรษฐกิจมีทั้งปัญหาทางการเมือง และหนี้สินระหว่างประเทศจนทำให้นิการากัวมีภาระหนี้สินระหว่างประเทศสูง ซึ่งส่งผลให้งบดุลขาดดุลอยู่เสมอ และยังเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาคอเมริกากลาง โดย เศรษฐกิจของนิการากัวพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก โดยมีกาแฟและเนื้อวัวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ
แต่มีขนาดเศรษฐกิจเพียง (GDP) 17.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไทย 513.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ GDP per Capita หรือรายได้ต่อหัวเฉลี่ยเพียง 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับประเทศไทย 7,331 ดอลลาร์สหรัฐ และไม่กี่ปีที่ผ่านมาชื่อของ ‘นิการากัว’ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะเป็นประเทศที่มี Miss Universe 2023

สำหรับข้อมูลสินค้านำเข้า/ส่งออกสำคัญมีดังนี้
สินค้านำเข้า : ปิโตรเลียม เสื้อผ้าและสิ่งทอ ยา และลวด
สินค้าส่งออก: เสื้อผ้าและสิ่งทอ ทองคำ ลวด กาแฟ เนื้อ และซิการ์
ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : สหรัฐฯ เม็กซิโก จีน กัวเตมาลา คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ ฮอนดูรัส
ตลาดส่งออกที่สำคัญ : สหรัฐฯ เอลซัลวาดอร์เม็กซิโก ทรัพยากรธรรมชาติ ทองคำเงิน ทองแดง ทังสเตน ตะกั่ว สังกะสี ไม้ และปลา
มูลค่าการค้ารวม 49.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้เปรียบดุลการค้ากับนิการากัว
จะเห็นได้ว่า นิการากัว นั้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กมาก และพึ่งพาการนำเข้า และส่งออกจากสหรัฐฯ เป็นหลัก ดังนั้น การขึ้นภาษีนี้อาจจะทำให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงหนัก จากปัจจุบันเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยราว 2-3% ก็อาจจะเติบน้อยลง หรือหากถูกขึ้นภาษี 100% ก็อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงได้
ที่มา : กองลาตินอเมริกา , ศูนย์ข้อมูล สำนักงานปลัดกระทรวง
The Business Plus บิสิเนสพลัส
