สงครามสุกี้ ยังคงคุกกรุ่นเมื่อ 3 เจ้าใหญ่ทั้ง เอ็มเค , สุกี้ตี๋น้อย , ลัคกี้สุกี้ ต่างออกโปรโมชั่น และมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการเพิ่มเมนูเป็ดย่างแบบไม่อั้นออกมาแล้ว 2 เจ้า เริ่มจากลัคกี้สุกี้ ตามมาด้วยสุกี้ตี๋น้อย
โดยลัคกี้สุกี้ ได้จัดโปรโมชั่นนี้ไปแล้วในช่วงวันที่ 16-27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ตามมาด้วยสุกี้ตี๋น้อยที่มีโพสต์ผ่านแฟนเพจเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ว่าจะแจกเป็ดย่างฟรีให้กับลูกค้าเร็วๆ นี้
ซึ่งเมนูพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาอย่างเป็ดนี่แหละที่จะทำให้ซัพพลายเออร์ผลิตและจำหน่ายเนื้อเป็ดได้รับออเดอร์ที่ล้นทะลักในช่วงการทำสงครามครั้งนี้
โดยเมื่อเร็วๆนี้ ‘Business Plus’ ได้สัมภาษณ์แหล่งข่าวในวงการสุกี้บุฟเฟ่ต์ ถึงประเด็นการนำเป็ดมาเป็นเมนูดึงดูดลูกค้า ว่า เกิดจากข้อมูลอินไซต์ที่พบว่า หนึ่งในอาหารที่คนไทยชอบทานคือ เป็ด โดยเฉพาะเป็ดย่าง และเป็ดพะโล้ เพราะเป็ดนั้นถือเป็นอาหารชั้นเลิศของชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณและประเทศไทยนั้นมีประชากรจีนอาศัยอยู่มากที่สุดอันดับ 2 ของโลก (Statista) จึงทำให้เป็ดเป็นที่ต้องการบริโภคภายในประเทศจำนวนมาก
ซึ่งผู้ผลิตเนื้อเป็นอย่างครบวงจรในไทยมีอยู่ 2 เจ้าใหญ่ๆ ที่รายได้สูงเกิน 2 พันล้านบาท นั่นคือ บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือ BR และ บริษัท ดั๊กคิง จำกัด โดยทั้ง 2 บริษัทถือเป็นผู้ผลิตเป็ดรายใหญ่ของประเทศไทยที่ทำธุรกิจเป็ดตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ-ส่งออก ทีนี้เรามาดูข้อมูลที่น่าสนใจของ 2 บริษัทนี้กัน
เริ่มที่ บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือ BR ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เป็นผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเป็ดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์, ธุรกิจฟาร์มพ่อแม่พันธุ์เป็ด, ธุรกิจโรงฟักไข่เป็ด, ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงเป็ดเนื้อ, และธุรกิจโรงงานชำแหละและแปรรูปเนื้อเป็ด ซึ่งก่อตั้งมายาวนานกว่า 40 ปี และปัจจุบันมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศ และส่งออกไป 20 ประเทศ ใน 3 ทวีปทั่วโลก และส่งออกภายใต้แบรนด์ของตนเอง ได้แก่ Dalee, Duck-To และ Canature
โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นดังนี้
ปี 2564 รายได้ 7,277.38 ล้านบาท กำไรสุทธิ -55.83 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 8,563.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 385.60 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 7,899.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 300.36 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 7,421.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 121.48 ล้านบาท
ขณะที่ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ประกาศรายได้ 6 เดือนแรกของปี 2568ออกมาที่ 1,852.65 ล้านบาท และกำไรสุทธิ ออกมาที่ 62.92 ล้านบาท ลดลง 24% จาก 82.36 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว โดยที่ลูกค้ารายใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีของ BR คือ MK Restaurants หรือเจ้าของร้านสุกี้เอ็มเค แต่ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจุบันนี้ เอ็มเค ยังคงใช้ซัพพลายเออร์เป็น BR หรือไม่
มาต่อกันที่ บริษัท ดั๊กคิง จำกัด ซึ่งก่อตั้งในปี 2544 ภายหลัง BR ประมาณ 19 ปี แต่กลับมีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิในปีล่าสุดโดดเด่นกว่าอย่างมาก ซึ่ง ดั๊กคิง เป็นผู้ผลิตเป็ดครบวงจร ตั้งแต่คัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ การผลิตเป็ดสด ชิ้นส่วนเป็ด และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเป็ดผลิตเป็ด
ทีนี้มาดูผลประกอบการของ ดั๊กคิง ย้อนหลังกันบ้าง
ปี 2564 รายได้ 1,742.69 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ – 21.34 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 2,033.83 ล้านบาท กำไรสุทธิ 18.89 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 2,275.63 ล้านบาท กำไรสุทธิ 105.45 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 2,563.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 209.87 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตุว่าลูกค้าของ ดั๊กคิง ล่าสุด ปรากฏรายชื่อของบริษัทใหญ่ๆ อย่าง เบทาโกร รวมไปถึง เอ็มเค และยังมีร้านอาหารจีนแบรนด์ดังอย่าง ฮั่วเซ่งฮง และเจียงลูกชิ้นปลา อีกด้วย ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ทั้ง 4 เจ้านี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปี 2567 รายได้และกำไรสุทธิของ ดั๊กคิง พุ่งสวนทางกับรายได้และกำไรสุทธิของ BR
แต่ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นของทาง BR ทำได้ดีกว่า ดั๊กคิง ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นปี 67 สูงถึง 22.68% ส่วนดั๊กคิง อยู่ที่ 16.60%
อย่างไรก็ตามคาดว่าทั้ง 2 รายจะมียอดขายพุ่งสูงขึ้นจากสงครามสุกี้ ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากแบรนด์สุกี้จะถูกบันทึกลงในไตรมาส 3/2568 และน่าจะเป็นตัวหนุนให้รายได้ของ 2 บริษัทนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากออเดอร์ที่ถล่มทลายด้วยโปรโมชั่นเป็ดบุฟเฟ่ต์ครั้งนี้
นอกจากนี้แล้วธุรกิจผลิตและจำหน่ายเนื้อเป็ดปี 2568 ยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดบนและกลุ่มอาหารแปรรูปคุณภาพสูง แต่ยังมีปัจจัยกดดันคือต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และมีการแข่งขันจากเนื้อสัตว์ทางเลือกอย่างไก่และหมู แต่จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงเป็ดมีแนวโน้มลดลงเพราะขาดศักยภาพในการบริหารต้นทุนและจัดการฟาร์ม ทำให้ตอนนี้ไทยเข้าสู่การรวมศูนย์การผลิตมากขึ้น
ที่มา : Corpus X , LH Bank
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์