เวลาใครคิดจะหาทำเลเปิดธุรกิจในไทย ทำเลแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่คิดก็น่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือตามหัวเมืองใหญ่ ๆ เนื่องจากมีผู้บริโภคอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว จำนวนอุปสงค์ที่เยอะนี้ก็ต้องแลกมาด้วยจำนวนคู่แข่งที่เยอะตามไปด้วย และต้นทุนต่าง ๆ ที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันหลายบริษัทจึงหันไปใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” ในการเปิดธุรกิจ
ป่าล้อมเมืองคือ การทำการตลาดและการทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่งที่ช่วงแรกจะโฟกัสพื้นที่เล็ก ๆ หรือพื้นที่รอบนอกเมือง แล้วจึงค่อย ๆ เจาะเข้าสู่เมืองขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา เปรียบเสมือนกับการค่อย ๆ รุกคืบจากป่าที่ล้อมรอบเมือง โดยกลยุทธ์นี้มักจะเป็นที่นิยมสำหรับผู้ค้าปลีก แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ในบทความนี้ Business Plus จะมาพูดถึง “พีทีจี” เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PT ในไทย ที่คนกรุงเทพฯ น่าจะไม่ค่อยพบเจอบ่อย ๆ นัก เพราะพีทีจีใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองในการรุกตลาด เน้นเปิดสาขาในต่างจังหวัด จนทำให้เป็นบริษัทที่มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงแค่ ปตท. เท่านั้น
พีทีจีมีจุดเริ่มต้นจากภาคใต้ของไทย ภายใต้ชื่อบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด เมื่อปี 2531 ก่อนที่จะเริ่มขยายธุรกิจไปยังภาคต่าง ๆ และจดทะเบียนเปลี่ยนเป็นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
สิ้นปี 2567 ปริมาณสถานีบริการน้ำมันในไทยมีทั้งหมด 26,380 แห่ง
โดยบริษัทที่เปิดสถานีบริการน้ำมัน 3 อันดับแรกได้แก่
- ปตท. ที่มีจำนวน 2,590 สาขา 9.15% 237
- พีทีจี ที่มีจำนวน 2,310 สาขา 5.06% 117
- บางจาก หลังจากควบรวมกับเอสโซ่เก่า ที่มีจำนวน 2,261 สาขา 9.98% 255
ที่น่าสนใจคือ หากนับเฉพาะจำนวนสาขาในจังหวัดกรุงเทพฯ พีทีจีจะมีจำนวนสาขาน้อยที่สุดในทั้ง 3 บริษัท แบ่งเป็น
– บางจากมี 255 สาขาในกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 9.98% ของจำนวนสาขาทั้งหมด
– ปตท. มี 237 สาขาในกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 9.15% ของจำนวนสาขาทั้งหมด
– พีทีจี มี 117 สาขาในกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 5.06% ของจำนวนสาขาทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าพีทีจีมีสาขาในกรุงเทพฯ น้อยกว่ารายใหญ่อื่น ๆ เกือบครึ่งหนึ่ง โดยปัจจุบันพีทีจีมีสาขาอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุดที่ 706 สาขา คิดเป็นสัดส่วน 30.56% ของจำนวนสาขาทั้งหมด
ซึ่งการเลือกเปิดนอกหัวเมืองใหญ่ของพีทีจีก็มีข้อดีอยู่หลายข้อ ได้แก่
– การแข่งขันที่ไม่ดุเดือดเท่าเมืองใหญ่
ในสภาพการแข่งขันที่สูงหรือมีบริษัทเจ้าตลาดอยู่ ธุรกิจที่เล็กไม่มีเงินทุนขยายร้านได้อย่างรวดเร็วก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะแข่งขันไม่ได้ ดังนั้นการเลือกไปเปิดในพื้นที่ที่มีผู้เล่นน้อยรายก็จะช่วยให้พอธุรกิจยังสามารถพอแข่งขันได้ แต่ก่อนที่จะเปิดร้าน เราก็จำเป็นต้องศึกษาทำเลให้ดีก่อนว่า มีฐานลูกค้าที่เพียงพอจริงหรือไม่
สำหรับพีทีจีที่มีจุดเริ่มต้นมาจากภาคใต้ของไทยนั้น ในช่วงวิกฤติแฮมเบอเกอร์ ทางพีทีจีมองว่าตัวเองเป็นเบอร์รองในตลาดที่ตอนนั้นมีบริษัทเจ้าของสถานีบริการน้ำมันหลายแห่งครองส่วนแบ่งในตลาด ทำให้ทางพีทีจีตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง หันมาเปิดสาขาตามถนนสายรอง ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่ต่างพากันไปเปิดถนนสายหลัก กลยุทธ์นี้ทำให้พีทีจีเจอคู่แข่งน้อยลง ทำให้สามารถพัฒนากิจการจนแข็งแกร่ง ก่อนเข้ามาขยายสาขาในเขตเมืองได้
– ต้นทุนถูกลง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาพื้นที่ทำเลต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ มักจะมีราคาสูงกว่าพื้นที่ในต่างจังหวัดอื่น ๆ อย่างมาก ประกอบกับค่าจ้างแรงงานในกรุงเทพฯ ก็ย่อมมากกว่าเช่นกัน ดังนั้นการเลือกเปิดธุรกิจนอกกรุงเทพฯ ก็ย่อมมีต้นทุนที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การเลือกเปิดธุรกิจในพื้นที่ห่างไกลก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านโลจิสติกส์ ที่นำไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ประกอบการควรเลือกทำเลและบริหารเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ดีก่อนด้วย
ทีนี้ลองมาดูผลประกอบการของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กันบ้าง
ปี 2565 มีรายได้ 179,785 ล้านบาท กำไรสุทธิ 934 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้ 199,224 ล้านบาท กำไรสุทธิ 944 ล้านบาท
ปี 2567 มีรายได้ 226,383 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,021 ล้านบาท
ในด้านรายได้และกำไรยังมีแนวโน้มเติบโตในช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้าสังเกตอัตราส่วนกำไรสุทธิจะน้อยมาก หรืออยู่ที่ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็เป็นปกติของธุรกิจที่เน้นการขายสินค้าโภคภัณฑ์
ที่มา: กรมธุรกิจพลังงาน, พีทีจี, SET
ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์
ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS