“เวียดนาม-สิงคโปร์” ผลตอบแทนทิ้งห่างไทย แม้ไทยติดโผ Top3 อาเซียน แต่เริ่มหมดเสน่ห์ ต่างชาติขายทิ้ง เซ่นเศรษฐกิจตกต่ำ

พี่ใหญ่ตลาดทุนอย่าง สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการอัพเดทข้อมูลการความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอาเซียนสิ้นเดือนกรกฏาคม 2564 (Capital Market Monthly Report) ออกมาในวันนี้ (19 สิงหาคม 2564)

ซึ่งเราพบข้อมูลว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนได้ต่ำกว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม และสิงคโปร์ ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะมีมูลค่าระดมทุนจากการซื้อขายหุ้นเป็นครั้งแรกให้กับประชาชนโดยทั่วไปเพื่อเข้าตลาดหุ้น (IPO) ครองแชมป์เป็นอันดับ 1 ก็ตาม

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มแพงเมื่อเทียบกับตลาดอาเซียน ดูได้จากอัตราส่วนราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ค่อนข้างสูง (เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังในตอนท้าย)

ทั้งนี้เมื่อไล่เรียงข้อมูลตั้งแต่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รายวัน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 พบว่า อันดับที่ 1 ตกเป็นของ สิงคโปร์ ด้วยมูลค่า 670,466.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอันดับที่ 2 เป็นของไทย 579,630.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ส่วนอันดับที่ 3 เป็นอินโดนีเซีย 490,138.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับที่ 4 มาเลเซีย 406,138.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับที่ 5 ฟิลิปปินส์ 273,251.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับที่ 6 เวียดนาม 247,184.61 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ทำให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับกลุ่มอาเซียน)

ด้าน มูลค่าการระดมทุน IPO ไทย ยังสูงเป็นอันดับหนึ่ง จากการเข้าซื้อขายของบริษัทขนาดใหญ่อย่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR

ซึ่งไทยมีมูลค่าระดมทุน 2,801.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับที่ 2 ฟิลิปปินส์ 1,269.63 ล้านเหรียญสหรัฐอันดับที่ 3 อินโดนีเซีย 492.74 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสิงคโปร์อยู่อันดับที่ 4 มูลค่า 238.14 ล้านเหรียญสหรัฐ และเวียดนามอยู่อันดับที่ 6 มูลค่าต่ำเพียง 0.93 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้าน อัตราการหมุนเวียนการซื้อขายรายวัน (Average Daily Turnover) พบว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นอันดับที่ 1 สูงถึง 2,835.49 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับที่ 2 คือมาเลเซีย 1,073.99 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับที่ 3 คือสิงคโปร์ 1,068.73 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านเวียดนามนั้นอยู่ที่ 803.96 ล้านเหรียญสหรัฐ

เท่ากับว่าตลาดหุ้นไทยนั้นมีสภาพคล่องในการซื้อขายของตลาดแต่ละแห่ง นักลงทุนสามารถเปลี่ยนหุ้นเป็นเงินสดได้รวดเร็ว จุดนี้ทำให้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมีเสน่ห์

แต่ในแง่ของราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ Price to Earning (P/E) นั้น ดูแล้วหุ้นไทยค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับกลุ่มอาเซียน โดย P/E สิงคโปร์สุงสุดที่ 35.24 เท่า ตามด้วย อินโดนีเซีย 31.79 เท่า ฟิลลิปปินส์ 29.50 เท่า และไทยเป็นอันดับที่ 4 อยู่ที่ 28.75 เท่า ส่วนมาเลเซีย 17.02 เท่า และเวียดนาม 18.40 เท่า

เท่ากับว่า หากเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยจะได้รับทุนคืนภายใน 28.75 ปี ส่วนเวียดนามนั้น ใช้เวลาเพียง 18.40 ปี

ปิดท้ายกันด้วยผลตอบแทน (Return) ของตลาดหุ้นในอาเซียน พบว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (มิถุนายน) ตลาดหุ้นเวียดนามสร้างผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ด้วยระดับ 27.60% อันดับที่ 2 สิงคโปร์ 10.08% และไทยอันดับที่ 3 ด้วยผลตอบแทน 9.55%

จากข้อมูลทั้งหมดที่เรานำมาเสนอครั้งนี้จะเห็นได้ว่า หุ้นไทยยังสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม และสิงคโปร์ อีกทั้งค่า P/E ที่ค่อนข้างสูงนั้น ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้แพงกว่าตลาดหุ้นอื่น

ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปีนี้ สถาบันวิจัยหลายแห่งเริ่มออกมาหั่นคาดการณ์ว่าจะติดลบ เทียบกับเวียดนาม ซึ่งธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) คาดการณ์ GDP เติบโต 6% และเทียบกับ สิงคโปร์ ที่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (MTI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของปี 2564 ว่าจะขยายตัว 6-7%

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ยืนยันได้จากข้อมูลตั้งแต่ต้นปีจนถึง 18 สิงหาคม 2564 ต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 11,869.95 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ข้อมูล : กลต.

Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #SET #mai #ตลาดหุ้น #ตลาดหุ้นไทย #หุ้นไทย #stock #อาเซียน