หัวเว่ย เตรียมทวงบัลลังก์ สมาร์ทโฟน ครึ่งปีแรก ยอดขายมือถือ หายไปกว่า 47%

หลังจากห่างหายจากการเป็นข่าวใหญ่ไปนานสำหรับ หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติจีน บริษัทที่ถูกมองว่าสักวันจะทำให้ Google กลายเป็นบริษัทเล็ก ๆ ไปเลย ล่าสุด นายกัว ปิง ประธานบริษัท หัวเว่ย ได้เปิดเผยว่า ปีนี้หัวเว่ยจะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์เจ้าพ่อสมาร์ทโฟนโลกกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าบริษัทจะยังต้องเจอกับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบที่มาจากการลงโทษของสหรัฐ ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริหารประเทศ ภายใต้ข้อหาคุกคามความมั่นคงของสหรัฐ

โดยในครึ่งปี 2021 ที่ผ่านมารายได้ของ หัวเว่ย ในฝากของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง หายไปกว่า 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หัวเว่ยซึ่งถือเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับหนึ่งของโลก หลุดออกจาก 1 ใน 5 ภายใต้สถานการณ์นี้ ขณะที่ในไตรมาส 4 ปี 2020 ที่ผ่านมา ปรับตัวลด 41% เมื่อเทียบกับปี 2019

“นี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ๆ สำหรับพวกเราที่จะนำเสนอโทรศัพท์มือถือ พวกเรารู้ว่าจำเป็นต้องผลิตโทรศัพท์ให้เล็กลงพริ้มกับบริโภคพลังงานให้น้อยลง พร้อมกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น หัวเว่ยสามารถออกแบบมัน แต่ไม่มีใครสามารถช่วยเราผลิต พวกเราขยับตัวค่อนข้างลำบาก”

ขณะที่หนึ่งในประเด็นสำคัญของทาง หัวเว่ย ก็คือผู้ผลิตชิปเซ็ตของจีนไม่มีความสามารถทำการตัดขอบชิปได้ เพราะว่าเจ้าเครื่องตัดขอบชิป (Extreme Ultraviolet (EUV) Machine) เป็นของบริษัทอาเอสเอ็มเอล โฮลดิง (ASML) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถูกสหรัฐห้ามส่งอุปกรณ์ตัวนี้ไปให้จีน และพวกเขาเป็นแค่หนึ่งเดียวในโลกที่มีเจ้าเครื่องตัวนี้ นั้นทำให้ทาง Bank of American มองว่า ถ้าจีนต้องการจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการตัดขอบชิป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปราศจากการทำงานร่วมกับอเมริกาและพันธมิตรของพวกเขา

แต่นายกัว ปิง ย้ำในงานถามตอบภายในของ หัวเว่ย ว่า บริษัทไม่มีไอเดียในการจะออกจากธุรกิจสมาร์ทโฟนแต่อย่างใด เพราะมันคือการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีของพวกเขาซึ่งนำประโยชน์มาสู่หัวเว่ย และจะทำให้จีนเข้าถึงการผลิตชิปเซ็ต “หัวเว่ย จะรักษาการมีอยู่ของกลุ่มธุรกิจมือถือ ฉันคาดว่าความสามารถในการผลิตชิปจะเพิ่มขึ้น และหัวเว่ยจะกลับเข้าสู่บัลลังก์แชมป์อีกครั้ง” โดยตัวเขาเชื่อว่าวันหนึ่งจีนจะสามารถผลิตชิปได้ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ นั้นทำให้กลุ่มธุรกิจนี้จะมีอยู่ต่อไป และพวกเราจะพยายามรักษาและพัฒนาเทคโนโลยีของพวกเราเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเราจะสามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้ต่อไป

แต่แม้จะถูกจู่โจมจากศัตรูรอบด้านแต่ หัวเว่ย ก็ยังสามารถโกยรายได้ในปี 2020 ที่ผ่านแบบรวมทุกกลุ่มธุรกิจไปมากถึง 891,370 ล้านหยวน สูงที่สุดในรอบ 5 ปีอีกด้วย โดยธุรกิจสองส่วนหลักที่สร้างรายได้ให้ หัวเว่ย อย่างมากก็คือ กลุ่ม Consumer Business และ กลุ่ม Carrier Network Business โดยตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ในจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อุปกรณ์สำคัญอย่าง เซมิคอนดักเตอร์ หัวเว่ยใช้เงินในส่วนนี้ไปมากถึง 19,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020

นอกจากนี้จากการจัดอันดับ Brand Finance พบว่า หัวเว่ย ถือเป็นแบรนด์ธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอยู่ที่ 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชนะอันดับสองอย่าง Cisco เกิน 100% เลยทีเดียว

สำหรับแอดมินแล้ว หัวเว่ย ในตอนนี้มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งถูกบีบคั้นยิ่งต้องต่อสู้ ยิ่งต้องสู้ยิ่งพัฒนา เมื่อพัฒนาก็ยิ่งเก่งต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นการโจมตีของสหรัฐในข้อหาคุกคามความมั่นคงนั้น ในระยะสั้นอาจจะทำให้ หัวเว่ย ชะงักไประดับหนึ่ง แต่หลังจากตั้งตัวได้แล้ว ด้วย DNA นักสู้ในแบบชาวจีนมีแต่จะทำให้พวกเขาอยากจะเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดเพื่อสลัดหลุดจากพันธนาการของสหรัฐและพันธมิตร

เพราะเราต้องเข้าใจว่า หัวเว่ย ทำงานเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อตัวอีกต่อไปแล้ว พวกเขาคือ บริษัทตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง พลังขับเคลื่อน ที่ต้องจะผลักดันชาติให้พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด และการสกัดกั้น หัวเว่ย ของสหรัฐก็ด้วยความกลัวที่มีต่อ หัวเว่ย ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญที่กำลังจะขับเคลื่อนโลก และจะเป็นคนออกเกณฑ์มาตรฐานใหม่สำหรับโลกในอนาคตต่อไป ซึ่งในมุมหนึ่งก็การทำให้ ประเทศจีน กลายเป็นผู้ควบคุมระเบียบโลกใหม่นั้นเอง

ที่สำคัญเบื้องหลัง Smart City ทั่วโลก ก็มี หัวเว่ย นี่แหละที่อยู่เบื้องหลัง!!

เขียนและเรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

ที่มา : CNBC, Statista

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #หัวเว่ย #สมาร์ทโฟน #สงครามการค้า #เทคโนโลยี