อาชีพเกิดใหม่
SKILL CONCEPT

ถอดรหัสเทรนด์โลก อาชีพเกิดใหม่ ทักษะไหนที่เป็นที่ต้องการ

อาชีพเกิดใหม่ เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  ส่งผลกระทยบให้บางอาชีพล้มหายตายจากไปและบังคับให้แรงงานดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับ เปลี่ยน และเพิ่มสกิลใหม่ๆให้รองรับกับรูปแบบอาชีพและอาชีพใหม่ๆ

เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในศตวรรษที่ 21 ความสำเร็จของคนเรานั้น ขึ้นอยู่กับทักษะและความรอบรู้เป็นสำคัญ เพราะความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและการที่โลกเชื่อมโยงกันในแทบทุกด้าน เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย นั่นแปลว่าหากเราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวยกระดับทักษะความรู้ให้ทันต่อแนวโน้มและความต้องการใหม่ ๆ ของโลก ย่อมจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก


ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงกับวิถีชีวิตของทุกคนบนโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ผู้นำทั้งหลายในประเทศไทยจะจัดการกับความท้าทายที่เกิดขึ้น และจะนำพาองค์กรหรือประเทศชาติให้ก้าวได้อย่างมั่นคงและทันกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างไร ในเมื่อทั่วโลกต่างก็ยอมรับไปในทางเดียวกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวินาทีนี้ เป็นสิ่งที่ผู้นำทั้งหลายไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน

หรืออาจพูดได้ว่า โลกในทุกวันนี้ที่เราอยู่กันเรียกได้ว่าเป็น “New Normal” หรือโลกที่มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา จนสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นบรรทัดฐานหรือธรรมชาติของสังคมไปโดยปริยาย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการคืบคลานของ “เทคโนโลยี” ที่เข้ามามีบทบาทและสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

 

จะเห็นได้ว่าหลายองค์กรพยายามเร่งพัฒนาให้สามารถก้าวข้าม Disruption ที่เกิดขึ้น และพร้อมจะสร้างความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ในส่วนคนเอง ในฐานะทรัพยากรมนุษย์อันมีค่าก็ต้องยิ่งเร่งขวนขวายและพัฒนาทักษะสู้วิกฤตพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เพื่อให้พร้อมตอบรับความต้องการของสังคมในอนาคต

ท่ามกลางการเติบโตของเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเหมือนคลื่นสึนามิลูกยักษ์ที่พร้อมซัดทุกตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง จนผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกคาดว่า หลายอาชีพในปัจจุบันกว่า 73 ล้านอาชีพกำลังจะหายไปภายในปี ค.ศ. 2030

ตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจนี้กระตุ้นให้พนักงานหลายคนในหลากหลายองค์กรเริ่มตระหนักถึงหายนะที่กำลังเตรียมเลื่อยขาเก้าอี้แบบฉับเดียวขาด และเร่งพัฒนาตนเองอย่างเต็มกำลัง
แนวโน้มเรื่องความกังวลว่าหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะแย่งงานมนุษย์ ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ใคร ๆ ต่างพากันพูดถึงในช่วงเวลานี้ แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีการโต้ตอบจากนักวิชาการบางกลุ่มเรื่องหุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์

โดยได้ยกสถิติของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคที่นำเครื่องจักรมาทดแทนแรงงานคนในปี ค.ศ. 1900 ว่า 40% ของแรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในภาคเกษตรกรรม แม้ทุกวันนี้เหลือคนในภาคเกษตรกรรมเพียง 2% แต่ประเด็นสำคัญคือแรงงานหรือบุคลากรในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตกงาน แต่ได้ทำงานที่มีคุณค่าสูงขึ้นด้านควบคุมเครื่องจักร รวมถึงมีงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นตามความก้าวหน้าของโลกอุตสาหกรรมครั้งนั้น

ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาล่าสุดว่า “การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีได้สร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่มากกว่าตำแหน่งงานที่ถูกทำลายหายไป เมื่อเทียบจากจำนวนตำแหน่งงานในช่วง 144 ปีที่ผ่านมา” ดังนั้นในโลกดิจิทัลและเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่ได้จะมีแต่ด้านลบเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะปรับตัวได้ก่อน หรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อนำมาเพื่อคุณค่ากับตนเองได้มากกว่า


ทั้งนี้ อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน  สำหรับการหางานในยุคประเทศไทย 4.0 ซึ่งเป็นยุคที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากปัจจุบันที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก ไปสู่ Value-Base Economy ก็ทำให้เราต้องหันมาทบทวนเส้นทางอาชีพหรือเส้นทางการวางแผนทางการเรียนของเราว่าเหมาะสมกับยุคนี้ และยุคที่กำลังจะเข้ามาในอนาคตนี้หรือเปล่า เราได้มีการเตรียมตัวเอง สร้างองค์ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ หรือทักษะอะไรบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังจะเข้ามา


… โลกเปลี่ยนแต่เราไม่เปลี่ยน ก็อาจจะสร้างปัญหาให้เราในการปรับตัวไปสู่อนาคตได้เหมือนกัน


สิ่งที่เราต้องทำคือการประเมินสถานการณ์ว่ายุคประเทศไทย 4.0 ต้องการคนที่มีทักษะแบบไหน และในตอนนี้เรามีทักษะนั้นบ้างอยู่หรือเปล่า ถ้าเราไม่มีแล้วเราสามารถอยู่รอดในสังคมการงานของเราปัจจุบัน หรือมีเงินทุนที่เพียงพอที่ได้วางแผนไว้แล้วหลังจากเกษียณก็ไม่น่ากังวลใจ แต่ถ้าไม่ใช่ และถ้ามันเกิดอะไรไรขึ้นมาที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง เราจะยังสามารถไปต่อได้หรือเปล่า


ประกอบกับ หากเรามองเทรนด์โลกขณะนี้ การเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้น เช่น การขยายตัวของสังคมผู้สูงวัย การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Internet of Things การเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัดด้วย Digi Learn การเข้ามามีบทบาทของคนรุ่นใหม่ สถานการณ์เรื่อง Urbanization ธุรกิจที่สร้างโอกาสจากพลังผู้หญิง หรือเรื่องของความตื่นตัวในเรื่อง Eco-Friendly หรือ Zero Waste ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งอาชีพ หรือไอเดียธุรกิจแบบใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน


ยกตัวอย่าง Data Scientist หรือนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, UI/UX Designer, นักออกแบบภาพ 3 มิติ, Youtuber, นักโภชนาการบำบัด, ช่างภาพ Drone หรือแม้กระทั่งอาชีพนักออกแบบสติกเกอร์ไลน์ เป็นต้น


คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะพัฒนาตนเองให้พร้อมเป็นพลเมืองแห่งโลกอนาคตได้อย่างไร ? และทักษะอะไรที่เราต้องรีบเรียนรู้เพื่อต่อกรกับวิกฤตครั้งนี้ ?

 

 

1. ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI)
เรารู้ว่า AI กำลังจะครองโลก เราก็ชิงควบคุมและกอบโกยประโยชน์จากมันให้ได้สิ เหมือนจะเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินเสียหน่อย แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงการเติบโตและการแทรกแซงในทุกส่วนธุรกิจของ AI ในทุกวันนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เริ่มพัฒนาทักษะนี้เลย

สำหรับ AI ถูกนำมาใช้งานอย่างหลากหลาย อาทิ ระบบประมวลผลตรวจจับใบหน้าบนโทรศัพท์มือถือ ระบบการประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP) และการจดจำคำพูด (Speech Recognition) ที่ถูกใช้ในเทคโนโลยีของ Siri Apple ระบบการแนะนำวิดีโอหรือหนังใน Netflix และ Youtube ฯลฯ โดยปัจจุบันสาขานี้ถูกพัฒนาจนมีขั้นตอนประเมินชุดข้อมูล (Hidden Layer) ที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้เคียงกับเครือข่ายประสาทของสมองมนุษย์เลยทีเดียว

นอกจากเทคโนโลยีอย่าง AI แล้ว ยังมีเทคโนโลยีการพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ (Software Development) อย่างระบบการทำงานอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Process Automatic หรือ RPA) ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมา เพื่อควบคุมกิจกรรมทางธุรกิจหลากหลายรูปด้วยคอมพิวเตอร์แบบอย่างอัตโนมัติ ผ่านการวิเคราะห์จากชุดข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ในงานที่ต้องใช้เวลามากและทำซ้ำไปซ้ำมา อย่างการตอบอีเมลลูกค้า การจัดการกับเอกสาร ตัวเลข และข้อมูลปริมาณมาก ราวกับเป็นพนักงานบริษัทที่ทำงานได้ 24 ชม. โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย

พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อ AI สามารถทำงานได้เร็วกว่าสมองคน จึงจำเป็นที่คนทำงานทุกคนต้องเร่งปรับตัวและเรียนรู้อย่างรวดเร็วกับเทคโนโลยี

อาชีพเกิดใหม่

2. การวิเคราะห์เซตข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) และการแสดงผลข้อมูลให้เห็นภาพ (Data Visualization)
หลายคนคงคุ้นหูกับเรื่อง “Big Data Analytics” หรือกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่ค้นหารูปแบบความสัมพันธ์และหาสิ่งที่เชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการหาเทรนด์ทางการตลาด การหาความต้องการของลูกค้า ซึ่งถูกนำมาประกอบการพัฒนาแผนงาน การดำเนินการต่าง ๆ ตลอดจนการตัดสินใจทางธุรกิจ ให้มีความถูกต้อง ตรงจุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

จนเรียกได้ว่า การตัดสินใจยาก ๆ ในวันวานก็ง่ายขึ้น (และเร็วมากขึ้นมาก ๆ) เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แม้ว่าเทรนด์นี้จะเข้ามาในสังคมโลกรวมถึงประเทศไทยมาได้สักระยะใหญ่ ๆ และหลายองค์กรก็เริ่มนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานทางธุรกิจแล้ว แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนส่วนใหญ่ในองค์กรไม่สามารถอ่านมันออก หรือแม้ว่าจะมีคนอ่านข้อมูลออกก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้คนอื่น ๆ เข้าใจได้อย่างไร ในปัญหาส่วนนี้เองที่ทักษะด้าน “Data Visualization” หรือทักษะในการนำข้อมูลต่าง ๆ มาทำให้เห็นภาพ เข้ามามีบทบาทอย่างขาดไม่ได้เลย

โดยทักษะนี้จะช่วยแปลงข้อมูลเชิงเทคนิคมาอยู่ในรูปแบบของภาพ (Visual) เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ดูน่าสนใจมากขึ้น และเห็นภาพรวมของข้อมูลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้ข้อมูลยาก ๆ สามารถเข้าถึงคนในหมู่มากได้แล้ว ก็ยังเพิ่มโอกาสในการมองเห็นข้อมูลที่น่าสนใจชุดใหม่ ๆ ที่อาจมองข้ามไป นับเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกต่อนึงอีกด้วย จนอาจกล่าวได้ว่า Data Visualization ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะของพนักงานในฝันที่ทุกองค์กรใฝ่หาในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย

3. การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex Problem-Solving)

แม้ว่าเทคโนโลยีจะถูกพัฒนาให้มาทำงานหลาย ๆ อย่างแทนมนุษย์ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เครื่องจักรไม่สามารถทำแทนเราได้ และแม้ทำได้ เราก็ไม่ไว้ใจให้ทำหน้าที่แทนมนุษย์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งนั้นก็คือหน้าที่ในการตัดสินใจ เพราะถึงแม้ว่า AI จะสามารถคำนวณเรื่องต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น เก็บข้อมูลได้มากมาย แต่ในหลาย ๆ เรื่องก็ยังต้องใช้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ในการตัดสินบางเรื่องอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า “ทักษะที่เกี่ยวกับการคิดเชิงวิพากษ์” (Critical Thinking) และ “ทักษะในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน” (Complex Problem-Solving)

ซึ่งครอบคลุมไปถึงการเลือกคำตอบในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม จะเป็นทักษะประเภทซอฟต์สกิล (Soft Skill) ที่หลายองค์กรเฟ้นหาในผู้สมัครงานยุคใหม่ และเร่งพัฒนาพนักงานของตนเองให้มีทักษะนี้มากขึ้น

โดยทักษะดังกล่าวช่วยให้มนุษย์สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ และตัดสินใจกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามหลักตรรกะและเหตุผลได้อย่างสมเหตุสมผล แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะมีความซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจโดยเฉพาะในยุคสมัยที่เทคโนโลยีและมนุษย์ทำงานคาบเกี่ยวกันในหลายระดับ จนไม่สามารถใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ได้ในทุกปัญหา

 

4. ทักษะเรื่องคน (People Skills)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่างานเกือบทุกประเภทบนโลกล้วนต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ๆ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นทักษะเรื่องคน (People Skills) จึงเป็นทักษะที่ขาดไม่ได้ที่จะช่วยให้เราสามารถทำงานร่วมกับคนได้อย่างราบรื่น ซึ่งเมื่อจำแนกลงไปแล้วทักษะนี้ประกอบด้วยหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นทักษะเกี่ยวกับประสิทธิภาพส่วนตัว (Personal Effectiveness) ที่เน้นการพัฒนาตนเอง, ทักษะที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น (Interpersonal Skills) อย่างการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี (Interpersonal Skills) และทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) ซึ่งรวมตัวกันเกิดเป็นความสามารถและทักษะย่อยต่าง ๆ มากมาย

อาทิ ทักษะด้านการจัดการคน (People Management Skills) ที่ใช้ในการจัดการ (Deal with) พูดคุย และควบคุมทั้งประสิทธิภาพและความรู้สึกของผู้คนรอบข้าง ทักษะเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในการเข้าใจผู้อื่น (Cognitive Flexibility) ที่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น รู้จักถึงวิธีการเข้าหา (Approach) และพูดคุยกับผู้คนในแต่ละลักษณะ ตลอดจนรู้วิธีปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ทักษะด้านการโน้มน้าวใจ (Negotiation Skills) ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจสำคัญในการปิดข้อตกลงทางธุรกิจในทุก ๆ ครั้ง ฯลฯ โดยทักษะซอฟต์สกิลเหล่านี้ล้วนเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับมนุษย์อย่างมาก เพราะตราบใดที่เรายังต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น แม้เพียงแค่ 1 คน เราก็ยังจำเป็นต้องใช้ทักษะเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

 

5. ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
สำหรับทักษะสุดท้าย เป็นทักษะชั้นเลิศที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาเนิ่นนาน ซึ่งการันตีได้ถึงความยอดเยี่ยม แม้หุ่นยนต์ตัวที่ดีที่สุดก็ไม่สามารถเทียบเท่ามนุษย์ได้ ทักษะนั้นคือ “ความคิดสร้างสรรค์” (Creativity) เพราะสมองของมนุษย์มีความซับซ้อนและมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายรูปแบบจนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ซึ่งเทคโนโลยีและ AI บนโลกใบนี้ต่างเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์นั่นเอง

สิ่งที่ดีไปกว่านั้นคือ แม้ว่าคนเราอาจไม่ได้เกิดมาแล้วมีทักษะความคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดหาทางออก หาคำตอบได้อย่างสร้างสรรค์ หรือเราทุกคนไม่ได้เกิดมาแล้วคิดแบบ Steve Jobs ได้ แต่เราก็ยังมีรูปแบบขั้นตอนการคิดที่ฝึกให้เราทำเช่นนั้นได้

เช่น การฝึกคิดแบบ Design Thinking หรือเทคนิคการคิดหาคำตอบแบบนักออกแบบเช่นนี้ เป็นต้น โดยทักษะความคิดสร้างสรรค์กลับมาทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่เครื่องจักรเข้ามาแย่


งานกินเวลาแสนน่าเบื่อไปเสียหมด จนคนมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ไปกับการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ในอนาคต (ที่เพิ่มความท้าทายให้กับนักคิดด้วยความเร็วของการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ) เฉกเช่นปัจจุบัน โดยเฉพาะการริเริ่มความคิดนอกกรอบ

ที่เรียกได้ว่าออกนอกกรอบเดิม ๆ แบบที่ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน อันเป็นผลมาจากการค้นพบความต้องการของลูกค้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (Unmet Needs) ต่าง ๆ จากลูกค้ายุคใหม่ที่เปลี่ยนไปเร็วไวในทุกขณะ ฉะนั้นหากเป็นคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังกังวลว่าจะโดนหุ่นยนต์แย่งงาน ขอให้คุณลับความคิดสร้างสรรค์ของคุณให้คมกริบเข้าไว้เดี๋ยวนี้เลย

นอกจากทักษะต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เหนือสิ่งอื่นใด ประชากรยุคใหม่ต้องมี “ทัศนคติที่อยากจะเรียนรู้” และ “วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม” ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไม่รู้จบเพื่ออยู่รอดในโลก New Normal นี้…

 

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: กฤษฎาพร วงศ์ชัย  (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่