สีเบเยอร์คูล นวัตกรรมสีระดับโลก เพื่อบ้าน เพื่อคนไทย เพื่อโลก

ในขณะที่โลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน คนส่วนใหญ่เลือกที่จะปลูกต้นไม้และใช้ถุงผ้า เพื่อช่วยลดโลกร้อน แต่ใครจะเคยคิดว่า สีทาบ้านนั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราจะช่วยลดโลกร้อนได้

 

กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ ได้พัฒนานวัตกรรมสีทาอาคารอย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อว่า ‘สีเบเยอร์คูล’ ซึ่งนำเอาไมโครสเฟียร์เซรามิก (Microsphere Ceramic) เทคโนโลยีแบบเดียวกันกับที่องค์การนาซ่าใช้เคลือบผิวของกระสวยอวกาศ เพื่อลดความร้อนจากแรงเสียดทานในขณะที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและกลับลงสู่โลก มาใช้ในสีทาบ้านได้สำเร็จเป็นรายแรกของตลาดสีเมืองไทย

 

อีกทั้งยังต่อยอดด้วยการผสานเทคโนโลยีพันธะเพชร (Diamond Bond) เพื่อช่วยเพิ่มพลังการยึดเกาะของเนื้อสีให้แข็งแกร่ง ทนทาน สีสันสดใส ยาวนานกว่า 15 ปี กล่าวได้ว่า กลุ่มบริษัท สีเบเยอร์ จำกัด ได้ทำให้ปณิธาน Eco-Wellness Innovation ออกมาเป็นรูปธรรมที่เป็นคุณประโยชน์ใช้งานได้จริงแก่ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

 


ดร. วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สีเบเยอร์ จำกัด กล่าวว่า ก่อนอื่น ต้องเริ่มต้นกันที่ปณิธานของเบเยอร์ที่ว่า เบเยอร์มิได้เพียงผลิตสินค้า หากแต่มุ่งมั่นรังสรรค์นวัตกรรมเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘Eco-Wellness Innovation’

 

และด้วยปณิธานที่ว่านี้ ได้นำมากำหนดเป็นนโยบายภารกิจในการพัฒนาธุรกิจให้สอดรับลงตัวกันทุกมิติแบบ Value Chain เริ่มต้นตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ โดยลดการใช้เคมีสังเคราะห์แล้วหันมาใช้วัตถุดิบธรรมชาติ Bio-Based ทดแทนให้มากขึ้น เพื่อการลด Inorganic Consumption ที่เป็นภาระแก่โลกโดยไม่จำเป็น

 

ในด้านการผลิตนั้น เบเยอร์มีความภาคภูมิใจที่ได้ปรับกระบวนการผลิตให้ล้ำยุคเป็นรายแรกของเอเชียที่มีชื่อว่า Automatic Vacuum Inline Dispersion (AVID) เป็นเทคโนโลยีระบบปิดแบบสุญญากาศ ที่ให้คุณภาพสูงที่สุดกว่าระบบการผลิตทั่วไป

ที่สำคัญคือ ลดการใช้พลังงานสิ้นเปลือง เป็นเทคโนโลยีที่คืนอากาศสะอาดแก่ชุมชน แก่สังคมไทย แก่ประเทศไทย และแก่โลกของเราทุกคนอีกด้วย

 

สร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อบ้าน เพื่อผู้อาศัยในบ้าน และเพื่อโลก
โดยหัวใจสำคัญของการกำหนดคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ของเบเยอร์นั้น ต้องให้เป็นไปตามปณิธาน Eco-Wellness Innovation อย่างเคร่งครัด คือไม่ใช่แค่เพียงสินค้า แต่ต้องเป็นนวัตกรรมรังสรรค์แก่ผู้ใช้และแก่โลก ที่ให้ประโยชน์ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม  นั่นคือ ‘สีเบเยอร์คูล’ (BegerCool)

 

เบเยอร์คูล ‘สีบ้านเย็น’ รายแรกและรายเดียวที่ได้นำเทคโนโลยีไมโครสเฟียร์เซรามิกจากองค์การ NASA มาพัฒนาต่อยอดในสีทาอาคาร มีคุณสมบัติทั้งสะท้อนและสกัดกั้นเสมือนโฟม กันร้อนได้สูงถึง 97% ทำให้ลดการนำความร้อนที่ผ่านผนังเข้ามายังบ้านได้ ประโยชน์คือ เจ้าของบ้านหรือผู้อยู่อาศัยได้อยู่บ้านที่เย็นสบาย ประหยัดเงินค่าไฟฟ้าได้ถึง 32% ต่อปี จากการทดสอบจริง และยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอันเกิดจากปรากฎการณ์โดมความร้อน (Urban Heat Island) ได้อีกด้วย ตามสโลแกนที่ว่า One Wall One World

แค่ช่วยกันทาสีเบเยอร์คูลคนละผนัง บ้านไม่ร้อน โลกก็ไม่ร้อน หนึ่งผนัง รวมพลังลดโลกร้อนไปด้วยกัน และที่นำมาสู่ความภาคภูมิใจสูงสุดของเบเยอร์ก็คือ การได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นแห่งชาติ ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่านี้จากในหลวงรัชกาลที่ 9

ตามมาด้วยการพัฒนาสีทาภายในที่ดีที่สุดของเราในเวลานี้ คือ สีเบเยอร์ชิลด์ แอร์เฟรช แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน  ที่ประสานหลากหลายสุดยอดเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยการนำเทคโนโลยีนาโนไททาเนียมมาใช้ในการฟอกอากาศในห้องให้สะอาดสดชื่น เช็ดล้างง่าย กลิ่นอ่อน ทาเสร็จเข้าอยู่ได้ใน 5 นาที

 

และล่าสุดได้ทำการปรับสูตรเพิ่มประสิทธิภาพโดยการเพิ่ม อนุภาคประจุแร่ทองคำ Gold Ion ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าแร่เงินและแร่ทองแดงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สามารถยับยั้งเชื้อไวรัส SARS-Cov-2 บนผิวสัมผัสผนัง ได้ถึง 99.98% เป็นรายแรกและรายเดียวที่ได้รับเอกสารรับรองการทดสอบจากสถาบัน Bioscience สหรัฐอเมริกา และ Virology จากประเทศอังกฤษ 2 สถาบันไวรัสวิทยาชื่อก้องโลก โดยที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงสองจากหลายสิบโครงการที่เบเยอร์ได้พัฒนาเพื่อคุณประโยชน์อย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย

ท้ายนี้ ดร.วรวัฒน์ บอกกับเราว่า การขับเคลื่อนธุรกิจ ท่ามกลางกระแสการระบาดของ COVID-19 เป็นเรื่องสำคัญ และเราก็ตระหนักถึงสถานการณ์ตรงนี้ โดยเบเยอร์มุ่งมั่นรังสรรค์นวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากการพัฒนาในระดับผลิตภัณฑ์แล้ว ยังมีการยกระดับองค์กรสู่นวัตกรรม Digital Transformation Work Base เพื่อความทันสมัยรวดเร็วในการทำงานทั้งภายในและภายนอก

 

โดยเฉพาะงานขายที่ได้เปลี่ยนจากระบบเอกสารมาเป็นการสั่งผ่านระบบ E-Ordering ที่รวดเร็วและสะดวกสำหรับตัวแทนจำหน่ายกว่า 4,000 รายที่มีอยู่ทั่วประเทศ การประสานงานผ่าน Online Maintenance กับศูนย์สีเบเยอร์กว่า 2,000 รายที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศเช่นกัน อีกทั้งการเพิ่มช่องทาง Online Omni Marketing ที่มุ่งเน้นด้านการให้ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการแก่ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ

 

รวมถึงการเปลี่ยนระบบงานให้เป็น Agile Organization โดยสนับสนุนให้เกิดการประสานงานแบบ Cross-Functional ระหว่างสายงานให้ทำงานกันเป็นทีม ตลอดจนการเตรียมตัวยกระดับองค์กรขึ้นสู่ Digital Organization เต็มรูปแบบภายในปี 2022 ที่กำลังมาถึงนี้

 

ทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจซึ่งจะเป็นการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและประเทศต่อไป