“WE LIVE FOR YOUR HEALTH” คำมั่น ‘อมาโด้’ ส่งคุณค่าด้านสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี ถึงคนไทยทุกคน

จุดเริ่มต้นของบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (Amado) เกิดจากคนหนุ่มที่มีประสบการณ์ด้าน Start-Up ที่มีเป้าหมาย คือ อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพที่ดี

ด้วยความมุ่งมั่นในการบริหารงาน เขาจึงวางรากฐานจน อมาโด้ เติบใหญ่เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และยังวางเป้าหมายในการนำพาบริษัทก้าวเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย

ต้องยอมรับว่า อมาโด้ อยู่ในช่วงเติบโตกับขนาดของธุรกิจ ด้วยวิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่และแผนธุรกิจ(Business Model) แบบแตกต่าง รวมถึงมีการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ อมาโด้ ประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่แบรนด์และยอดขายอย่างมาก

ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตสูงถึง 231.14% จากปีก่อนหน้า ด้วยยอดขาย 2,200 ล้านบาท ไม่เพียงแค่นั้น อมาโด้ ประกาศแผนธุรกิจ หวังบรรลุเป้าหมายยอดขาย 2,500 ล้านบาทในปีนี้

เพื่อติดสปีดธุรกิจอย่างไม่หยุดนิ่ง สู่การเป็นบริษัทมหาชนฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai และมองไกลถึงการเติบโตสู่ระดับภูมิภาค ด้วยคำมั่นสัญญา “We Live For Your Health”

เป้าหมายที่คุณธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ต้องการพา อมาโด้ ก้าวเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย นำมาซึ่งข้อท้าทายหลายประการ

แต่จากที่เราคุยกับเขาอย่างละเอียด ก็พบว่าเขาและทีมงาน รวมถึงพนักงานต่างทำงานอย่างหนัก เพื่อส่งมอบคำมั่นสัญญาขององค์กร คือส่งคุณค่าด้านสุขภาพที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีถึงคนไทยทุกคน แน่นอน สิ่งที่ อมาโด้ ดำเนินการในช่วงปีหลัง ๆ เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น ๆเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้แปลกไปจากเดิม แต่เชน หรือธนาตรัยฉัตร เขามีวิธีบริหารธุรกิจให้เติบโต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคเสมอ

อาทิ เมื่อต้นปีเขานำเสนอ New Business Model ขยายช่องทางการขายและประชาสัมพันธ์แบรนด์เพิ่มเติม “Amado Shopping” ที่ไม่ได้จัดจำหน่ายเพียงผลิตภัณฑ์ของ อมาโด้ เพียงรายเดียว แต่ยังเปิดรับพาร์ตเนอร์ธุรกิจที่สนใจนำผลิตภัณฑ์ มาจัดจำหน่ายบน Amado Shopping ด้วยการคิด “GP” ต่ำ

ธนาตรัยฉัตร “Disruptor” วงการสินค้าคอลลาเจน กับจุดกำเนิดแบรนด์ Amado

หัวใจสำคัญที่ทำให้ อมาโด้ แจ้งเกิดในธุรกิจนี้เป็นการแก้ Pain Point ของสินค้าที่ในอดีตไม่มีแบรนด์ใดทำได้สำเร็จ ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนผง“คอลลิจิ คอลลาเจน” ประสบความสำเร็จมากในตลาด โดยเกิดจากการวาง 3 ยุทธศาสตร์เป็น Core Business ขับเคลื่อนธุรกิจให้ยั่งยืนในEcosystem ประกอบด้วย

  1. แผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) 2. ช่องทางการจัดจำหน่าย (Distribution Channel) และ 3. ฐานข้อมูลลูกค้า (Data Driven)

จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนผง “คอลลิจิคอลลาเจน” มีจุดขายในเรื่อง “ชงแล้วใส ไม่ใส่สี ไม่มีน้ำตาล” สามารถแก้ Pain Point เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในท้องตลาด ซึ่งมักจะประสบปัญหาเรื่องของกลิ่นที่คาว และสีขุ่น สิ่งที่แตกต่างนี้ทำให้ อมาโด้ ได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และยังเป็นการดิสรัปต์วงการสินค้าคอลลาเจน ทำให้ผู้บริโภคปลื้ม ทั้งยังเห็นผลจริง จึงเกิดการสั่งซื้อซ้ำ

“ถ้าพูดโยงกลับไปก็เพราะ 1 ใน Core Business เรื่องแผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) อมาโด้ มีความแข็งแกร่งและชัดเจนมาก โดยแผนกวิจัยและพัฒนาทำหน้าที่ค้นคว้า หานวัตกรรมใหม่ ๆ รวบรวมข้อมูล ส่วนประกอบ และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงกำหนดสูตรผลิตภัณฑ์ โดยเน้นนวัตกรรมพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทั้งความต้องการของตลาดปัจจุบันและตลาดในอนาคตด้วย โดยทั้งหมดเรามี Data รองรับเสมอ แม้กระทั่งเรื่องของ R&D ที่เป็นหัวใจหลักของ อมาโด้ หากมีผู้ทดลองใช้ 100 คนแล้วชอบไม่ถึง 90 คน เราจะไม่ขาย

ขณะที่ช่องทางการจัดหน่ายสินค้าและบริการของเรา ไม่ว่าช่องทางใด อาทิ จาก Offline อย่างโทรทัศน์ พอเกิดการสั่งซื้อซ้ำ เรามีวิธีสื่อสารกับลูกค้าให้มากด Like จนเกิด Conversation ใน Online ต่อ เกิด Engagement ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เรารับฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการและรีบตอบโจทย์ให้ทัน และต่อมาในการเอาต์บาวด์ (Outbound) หาลูกค้า โดยทั้ง 3 วิธีการนี้เป็นการวัดผลที่ดี

สุดท้ายเราก็จะวัดได้ว่า R&D ดีจริงหรือไม่ ซึ่งสถิติการสั่งซื้อซ้ำเราอยู่ที่ 20% แต่ลึก ๆ ผมบอกได้ว่า อมาโด้ ประสบความสำเร็จได้ เพราะเราบริหารงานด้วยความจริงใจ (Sincerity) มาตลอด

และรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์เรา (Trust) ให้ลูกค้าเชื่อใจในคุณภาพของสินค้าที่เรามี ช่วยทำให้สุขภาพหรือร่างกายดีขึ้นจากการสะท้อนจากภายนอก ที่แท้ที่จริงแล้วมันดีมาจากภายใน เราจึงเรียนว่า สินค้าเราจะทำให้เกิดมิติที่ 2 เสมอยกตัวอย่าง ผู้ใช้จริงสามารถเลิกใช้ไม้เท้าได้เลย หลังจากรับประทานคอลลาเจนได้ระยะหนึ่ง เพราะเราต้องการให้คนไทยหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ได้สารอาหารครบตามหน่วยบริโภคในทางโภชนาการหรือ Optimal Level ที่เป็นระดับสูงสุดของการดูแลสุขภาพตาม Missionของแบรนด์ คือ Optimize Your Everyday คุณธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัดเผยกับ Business+

อย่างที่เกริ่นตอนต้นว่า แบรนด์อมาโด้ (Amado) กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 อย่างมั่นคง จากการมองเห็นโอกาสทางการตลาดของนักธุรกิจรุ่นใหม่อย่างคุณธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์

ผู้มีประสบการณ์ในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและธุรกิจออนไลน์มากว่า 10 ปี เพื่อพาบริษัทก้าวเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย สิ่งที่ อมาโด้ นำเสนอแก่ผู้บริโภค ไม่เพียงแต่สร้างทางเลือกใหม่ให้อุตสาหกรรมนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการพลิกโฉมวงการดูแลสุขภาพของคนไทยอีกด้วย

คำกล่าวนี้ สิ่งที่ยืนยันคือ อมาโด้ นำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ “Amado Shopping” เมื่อต้นปีนี้ ถือว่าเขย่าวงการทีวีโฮมชอปปิง ด้วยจุดแข็งคิด “GP” ต่ำเป็นการรวบรวมรายการโทรทัศน์ที่มีเรตติงที่ทรงประสิทธิภาพจากช่องโทรทัศน์ชั้นนำของประเทศ และจัดโปรโมชันสินค้าจับกลุ่มเป้าหมายของแต่ละช่องได้แบบเฉพาะเจาะจง

ภายหลังจากบริษัทเปิดตัว Amado Shopping โฮมชอปปิงรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้จัดจำหน่ายเพียงผลิตภัณฑ์ของอมาโด้เพียงรายเดียว

แต่ยังเปิดรับพาร์ตเนอร์ธุรกิจที่สนใจนำผลิตภัณฑ์มาจัดจำหน่ายบน Amado Shopping ซึ่งโมเดลธุรกิจใหม่นี้ เป็นการนำจุดแข็งของ อมาโด้ มาสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจใหม่มากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถเก็บรวบรวมสะสมข้อมูลลูกค้าเป็น Big Data ที่เป็นขุมทรัพย์สำคัญของธุรกิจ ผนวกกับศักยภาพของ อมาโด้ ในการทำ Data Driven Marketing สู่การเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

เรามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มสุขภาพ (เฮลท์) และความงาม (บิวตี) สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มช่วงอายุ และวางจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผล เราจึงมั่นใจว่า บริษัทฯ จะก้าวเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามของไทย”

คว้าทุกโอกาส ด้วยแนวคิด Data-Driven Company

โลกธุรกิจปัจจุบันต่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล และ อมาโด้ มีกลยุทธ์ในการนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หรือที่เรียกกันว่า Data-Driven Company

คุณธนาตรัยฉัตร บอกกับเราว่า ตั้งแต่การทำคลังข้อมูล (Database) ไม่ว่าจะมาจากแพลตฟอร์ม Amado Shopping, Telesale, Online ของอมาโด้ สามารถมองหาช่องทางขายที่ทรงประสิทธิภาพ ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคด้วยโปรโมชันตรงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง โดยสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากองค์กรในยุคก่อน ๆเรื่องแรก คือความเร็ว (Fast)

เราพยายาม Lean บริษัทมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มทำธุรกิจ โดยลดขั้นตอนการบริหารจัดการ เช่น การขออนุมัติจะมีแค่ 2 ชั้น คือ ระดับที่ตัดสินใจได้ และระดับปฏิบัติการ ทำให้เรามีความเร็วมากขึ้น

ต่อมาเป็นเรื่องของแนวคิด ก่อนหน้านี้แนวคิดต้องเป็นรูปธรรมจับต้องได้ มีความแน่นอนมาก ๆ แต่วันนี้แนวคิดจะมีความเป็นนามธรรมเข้าไปผสมด้วย เพราะเราขับเคลื่อนด้วย Reach ซึ่ง หมายถึง Accessibility การเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า ถือเป็นหัวใจของบริษัทแบบเรา

ในเชิงการตลาดออนไลน์ ถ้าเปรียบให้เห็นภาพ คือ ที่ไหนมี Reach ที่นั่นมีออกซิเจน จากนั้นเป็นเรื่องของความเร็วที่เราจะทำทุกอย่าง

การขยายช่องทางขายไปยัง TV Shopping เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสุดในเรื่องการนำ Data มาใช้เพื่อการวางกลยุทธ์ ในขณะที่คนอื่น ๆ อาจมองว่าทีวีกำลังเป็นขาลง

แต่เรากลับมองว่า นั่นคือช่องทางที่เต็มไปด้วยกลุ่มเป้าหมายของ อมาโด้ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใหญ่ ยังนิยมการดูทีวี แต่ทั้งนี้ต้องมีการสร้างสมดุลในเรื่องของราคา หรือต้นทุนค่า Media ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้

กลยุทธ์ ความท้าทายและอนาคต

ข้อเท็จจริงหนึ่งในสนามธุรกิจปัจจุบัน ที่แข่งกันด้วย Product Feature และ Cost อาจต้องพบกับความยากลำบาก ทำให้ต้องทบทวนกลยุทธ์การแข่งขันอย่างจริงจัง

ประเด็นนี้ คุณธนาตรัยฉัตร บอกว่า สิ่งที่ท้าทายในแง่ของการทำงานมากที่สุด มาจาก Core Business ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ R&D, Distribution Channel และ Data Driven

เรื่องของ Distribution Channel เนื่องจากบริษัทเน้นการสื่อสาร 2 ช่องทางทั้ง Online และ Offline อีกทั้งยังมีเรื่องของ Disruption ในมิติต่าง ๆ แฝงอยู่ เมื่อ อมาโด้ สามารถเชื่อมต่อ Ecosystem ได้แล้ว จึงจะมาพิจารณาดูว่าช่องทางไหนดี ไม่ดี อย่างไร

และเมื่อ Distribution Channel มีความแข็งแรงมากพอ และได้เข้ามาอยู่ในระบบของตลาดทุน การจะจัดตั้งโรงงานผลิตก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก เพราะสามารถคำนวณต้นทุนได้ว่าจะคืนทุนได้ภายในกี่ปี

รวมถึงเรื่องของ Ecosystem ปลายน้ำอย่างระบบโลจิสติกส์ หากมีต้นทุนที่แพงเกินไป เราซื้อรถกระบะแล้ววิ่งส่งเองก็สามารถทำได้

และเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า Distribution Channel หรือว่าซัปพลายเออร์เปลี่ยนไป เราก็พร้อมที่จะ Disrupt เพราะเราเป็นสตาร์ตอัป จึงต้องหาวิธีการที่จะทำให้บริษัทอย่างเรา สามารถเทคแคร์ลูกค้าให้มีประสิทธิภาพต่าง ๆ เพิ่มเข้ามา

ดังนั้น หากมองในเชิงการวางยุทธศาสตร์ แต่ละช่องทางของ Distribution Channel ที่ประกอบด้วยตัวแทนจำหน่าย ออนไลน์ คีออส เทเลเซลล์ และโมเดิร์นเทรด ถือเป็น Ecosystem ที่ อมาโด้สร้างให้มีความเชื่อมโยงกัน

อีกหนึ่งความท้าทายของอมาโด้ คือ การเดินหน้าตามแผนการผลักดันองค์กรเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ที่กำหนดไว้ในช่วงปลายปี 2565

“เนื่องจากวันนี้ อมาโด้ เติบโตได้ค่อนข้างเร็วในมุมของ TV Shopping หรือธุรกิจคอมเมิร์ซ ทำให้เราวิเคราะห์กันภายในว่า จะกำหนดให้บริษัทฯ ไปในทิศทางใด จะยังคงเป็นซัปพลิเมนต์ 100% หรือเป็นคอมเมิร์ซด้วย ซึ่งยังคงเป็นแผนที่ต้องพิจารณาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่เรามีชื่อขึ้นอยู่บนกระดานหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ ภาพของ อมาโด้ จะกลายเป็นองค์กรที่มีความไดนามิกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และหลังการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เป้าหมายต่อไปของเรา คือ การเติบโตไปสู่ระดับ Regional ซึ่งวันนี้ระบบโลจิสติกส์พัฒนาเป็นโกลบอลไปเรียบร้อยแล้ว จึงมีโอกาสทางการตลาดอีกมากมาย

ถ้าเราได้ IPO จะนำมาพัฒนาสินค้าให้เพิ่มขึ้น สามารถสร้างโอกาสทางการขายที่มากขึ้น รวมถึงแผนการสร้างโรงงาน เพราะวันนี้เรามียอดการสั่ง OEM ถึงปีละ 1,000 ล้านบาท หมายความว่า แค่เรานำเงิน IPO มาสร้างลงทุนสร้างโรงงานสัก 200 ล้านบาท เพียง 6 เดือนก็คืนทุนแล้ว

อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันองค์กรให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืน ต้องอาศัยปัจจัยที่เกื้อหนุนในหลากหลายมิติ ในวันนี้ อมาโด้ มีมากกว่าความยั่งยืน

อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือ Ecosystem ในหลาย วงกลม ให้สามารถเติบโตไปพร้อมกัน เป็นการสร้างโอกาสให้ประเทศชาติ และสร้างพื้นที่ทางการตลาดใหม่ ๆ ให้แก่อุตสาหกรรม

ความยั่งยืนของเราไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปักต้นไม้ลงไปในดินแล้วเติบโต แต่เรายังทำให้พื้นที่โดยรอบ ๆ เติบโตเขียวชอุ่มไปพร้อมกัน” คุณธนาตรัยฉัตร กล่าวทิ้งท้าย