Unite the Universe รวมจักรวาล ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ ทะยานสู่บริษัทฯ มหาชน

“นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ไม่เคยมีลูกค้ารายใดที่มาใช้บริการกับเราแล้วเปลี่ยนใจไปจ้างผลิตกับเจ้าอื่นเลย
ซึ่งความสำเร็จนี้ เกิดจากความใส่ใจลูกค้าที่เรามีความซื่อสัตย์
รวมถึง Service Mind ทำให้ลูกค้าเกิด Brand Loyalty มาโดยตลอด”
ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี

 

 

กว่า 20 ปีที่ ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี กรรมการผู้จัดการบริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออกานิกส์ คอสเม่ จำกัด โลดแล่นอยู่ในธุรกิจสุขภาพ อาหารเสริมและสมุนไพร เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขามีความสามารถที่โดดเด่น

 

ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์มากมาย ทั้งแพทย์ เภสัชกร นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญ เขาวางรากฐานองค์กร สามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย เรียกได้ว่า มาที่นี่ที่เดียว ครบ !!!

 

ทำไมเขาต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพมากเช่นนี้ นั่นเพราะ Vision และ Passion ของเขา ต้องการพาองค์กรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันแรก

 

ยิ่งเราได้ฟังจากปากของเขาว่า “นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ยังไม่เคยมีลูกค้ารายใดที่มาใช้บริการกับเราแล้วเปลี่ยนใจไปจ้างผลิตกับเจ้าอื่นเลย”

 

หากประเมินความสำเร็จของแบรนด์และองค์กร กรณีนี้ย่อมเกี่ยวเนื่องกับทั้งพันธะสัญญา (commitment) และยุทธศาสตร์ (strategy) ของเขาที่มีต่อลูกค้าและผู้บริโภคอย่างไม่ต้องสงสัย

ก็ต้องบอกว่า จุดแข็งของทุกบริษัทในเครือ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ อยู่ที่ความเชี่ยวชาญในทุก ๆ มิติ ที่กล่าวมา ทำให้องค์กรแห่งนี้ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย และอีกหนึ่งจุดแข็งคือการดำเนินธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ส่งผลให้มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ สูตรตำรับ บรรจุภัณฑ์ เครื่องจักร เทคโนโลยี รวมไปถึงการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์

 

เมื่อเป้าหมายที่ผ่านมาประสบความสำเร็จแล้ว ในวันนี้พวกเขาจึงตั้งเป้าการเติบโตไปอีกขั้น ด้วยการรวมจักรวาลบริษัทในเครือทั้งหมดเข้าด้วยกัน และผลักดันเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีภารกิจแรกที่ต้องทำให้สำเร็จ คือ การสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจรภายใน 5 ปี

 

 

หากพูดถึงบริษัทที่อยู่ในเครือ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ เราจะมองเห็นภาพบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง สมุนไพร เครื่องมือแพทย์ รวมถึงวัตถุอันตราย และยังเป็นผู้รับจ้างออกแบบและผลิตสินค้าที่มีลูกค้าในมือกว่า 1,000 แบรนด์ ภายใต้โรงงานผลิตครบวงจรมาตรฐานระดับสากล แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้แบรนด์แห่งนี้คือ การทำธุรกิจแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ

 

ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี กรรมการผู้จัดการบริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออกานิกส์ คอสเม่ จำกัด กล่าวกับเราว่า ในปี 2564 ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเติบโตเกินเป้าหมายที่คาดการณ์เอาไว้ ด้วยอัตราการเติบโตหลายเท่าตัว ถึงแม้จะเผชิญกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่หดตัวจากภาวะ COVID-19 ซึ่งการเติบโตในปีที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนด้วยหลายธุรกิจด้วยกัน

 

ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ Growth Engine

  • ธุรกิจเสริมอาหาร และธุรกิจเสริมอาหารทางการแพทย์ (ออกานิกส์ อินโนเวชั่นส์) ในปีที่ผ่านมา ยอดขายเติบโตกว่า 2,000% และในปี 2565 ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีลูกค้ารายใหม่เข้ามามากขึ้น ในขณะที่ลูกค้าเก่าบริษัทก็ยังรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ได้ดี ด้วยการเน้นกลยุทธ์สร้างความภักดี (Brand loyalty)โดย ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาไม่เคยมีลูกค้ารายใดที่มาใช้บริการกับเราแล้วเปลี่ยนใจไปจ้างผลิตกับเจ้าอื่นเลย ซึ่งเคล็ดลับคือการสร้าง Brand loyalty ด้วยความใส่ใจลูกค้า และใส่ส่วนผสม หรือสารสกัดให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นเห็นผลจริง โดยอิงจากนวัตกรรมและงานวิจัยที่เคยทำมาแล้ว
  • ธุรกิจเครื่องสำอาง (ออกานิกส์ คอสเม่) ซึ่งปีที่ผ่านมาเห็นการเติบโตของยอดขายได้กว่า 300% หรือ 3 เท่าตัว
  • ธุรกิจค้าปลีก หมวดสุขภาพและความงาม (ด็อกเตอร์ เจล) ได้เห็นการเติบโตของยอดขายที่ระดับ 50-100%

 

ในปี 2564 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ยอดขายยังเติบโตสวนภาวะเศรษฐกิจมาจากความใส่ใจลูกค้ากับทุกผลิตภัณฑ์ โดยเราจะเน้นใส่ส่วนผสม หรือสารสกัด ที่มีงานวิจัยและมีนวัตกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นเห็นผลจริง”


4
เสาหลัก New S-curve ปี 2565

เมื่อถูกถามถึงธุรกิจที่จะเป็น New s-curve ของ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ ในปี 2565 ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า ในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่ 4 เสาหลัก ได้แก่

 

  1. กลุ่มธุรกิจกัญชา โดยจะเข้าไปเป็นที่ปรึกษา รวมถึงวางกลยุทธ์ให้กับเกษตรกร หรือผู้ที่สนใจเข้าทำธุรกิจเกี่ยวกับฟาร์มเพาะปลูกกัญชาแต่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่ง ‘ออกานิกส์ กรีนส์ ฟาร์ม’ จะเข้าไปเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการไปจนจบกระบวนการรวมถึงมีแพลตฟอร์มดูแลฟาร์มที่เป็นดิจิทัลทั้งหมดอย่าง IOT Smart Farm โดยอุปกรณ์นี้จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการเพาะปลูกกัญชาได้ตั้งแต่การเพาะพันธุ์เมล็ด รดน้ำ ใส่ปุ๋ย เพิ่มแสง หรือกำหนดอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยให้เกษตรกร หรือผู้เพาะปลูกประหยัดต้นทุนการจ้างพนักงานดู และยังสามารถควบคุมระบบทั้งหมดผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งปัจจุบันอุปกรณ์ IOT Smart Farm อยู่ระหว่างการคิดค้นและทดสอบ ใกล้เสร็จสิ้น 100% ในช่วง 1-2 เดือน โดยปัจจุบันบริษัทมีพาร์ตเนอร์ และลูกค้าหลายรายที่ให้ความสนใจจำนวนมาก

 

  1. ธุรกิจโรงงานผลิตสมุนไพรไทยและเครื่องสำอาง ซึ่งจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่ง S-curve ในปี 2565 หลังจากที่บริษัทได้รับการรองรับจาก FDA ในประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 4 บริษัทในประเทศไทยที่ได้รับรองนี้ ถือเป็นการการันตีมาตรฐานโรงงาน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและความสามารถโดยหลังจากได้รับรองจากประเทศจีน บริษัทจะสามารถทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การปลูกสมุนไพร ไปจนถึงการผลิตและจำหน่าย รวมไปถึงลูกค้าที่มารับจ้างผลิต (OEM) กับบริษัทก็จะสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนได้เช่นกัน

 

  1. ธุรกิจเครื่องดื่มกัญชง ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ ‘ออกานิกส์ อินโนเวชั่นส์’ ผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของตัวเอง และจะผลิตออกมาเพื่อตีตลาดน้ำเต้าหู้ เพราะปัจจุบันน้ำเต้าหู้มีกระแสจากกลุ่ม Anti-Soy milk จากการที่มีคนไทยจำนวนมาก แพ้สารประเภทนี้ ซึ่งเครื่องดื่มกัญชงที่บริษัทจะผลิตออกมาไม่มีสารประเภทนี้ และยังให้สารอาหารที่สูงกว่าน้ำเต้าหู้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวได้ไม่เกินครึ่งปีหลังของปี 2565

 

  1. ธุรกิจร้านขายยารูปแบบ Chain Store ซึ่งจะเป็นโมเดลร้านขายยาแห่งแรกในประเทศไทยที่ทำไดร์ฟทรู (Drive Thru) และมีแพทย์ประจำคอยให้คำปรึกษาด้วย Telemedicine และ Telepharmacy โดยที่บริษัทมีความได้เปรียบเพราะมีความเชี่ยวชาญอยู่ในสายงานเภสัชกร รวมถึงพาร์ตเนอร์ที่เป็นแพทย์ สำหรับธุรกิจนี้ในช่วงแรกบริษัทตั้งเป้าการเปิด Chain จังหวัดละ 1 แห่ง และภายหลังการเปิดให้บริการเชื่อว่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2565 นี้อย่างแน่นอน

 

 

รวมจักรวาล ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป ตั้งยานแม่ทะยานสู่บริษัทจำกัดมหาชน

แผนการขยายธุรกิจของ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ ยังไม่หยุดอยู่เท่านี้ ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าวว่า ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ มีแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะเริ่มต้นจากการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง (Holding company) ที่รวม 4 บริษัท ในเครือเข้าด้วยกัน

 

ทั้งนี้ภายหลังจากรวมจักรวาลของ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ เข้าด้วยกันเสร็จเรียบร้อยภายใต้ชื่อบริษัทโฮลดิ้งที่จัดตั้งขึ้นมาคือ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ บริษัทจะนำบริษัทโฮลดิ้งแห่งนี้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้น (Filing) กับทางสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai กลุ่มอุตสาหกรรมค้า และจะจัดสรรหุ้นสามัญให้กับบุคคลทั่วไปราว 30% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยที่เหลืออีก 70% ยังเป็นสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’

 

การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็น Passion ของบริษัทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มบริษัทมีกำไรรวมกัน ราว 8-9 หลัก และทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท รวมถึงมีความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ” ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ กล่าว

 

4 บริษัท ประกอบด้วย

  1. บริษัท ออกานิกส์ คอสเม่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตราย โดยเป็นบริษัทแรกของทาง ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ ที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี (คณะเภสัชศาสตร์)
  2. บริษัท ออกานิกส์ อินโนเวชั่นส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ โดยเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่นที่สุด
  3. บริษัท ออกานิกส์ กรีนส์ ฟาร์ม จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้า-ส่งออกวัตถุดิบ การเพาะปลูกกัญชง/กัญชา การเพาะเลี้ยงถั่งเช่า รวมไปถึงเพาะ/วิจัยสารสกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ป้อนวัตถุดิบให้กับทุกบริษัทในเครือ
  4. บริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าปลีกรวมถึงวางระบบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และเครื่องสำอางสำหรับดูแลสุขภาพ

 

ทั้งนี้ภายหลังการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินลงทุนขยายโรงงานผลิต และฟาร์มสมุนไพร รวมไปถึงลงทุนขยายร้านยา Chain ซึ่งทั้ง 2 ธุรกิจจะเข้ามาเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้มากขึ้น

 

จุดแข็งของ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’

จุดแข็งของ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ หลังจากถูกจัดตั้งเป็นโฮลดิ้ง คือการมีธุรกิจหลากหลายกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นที่มีอยู่ขณะนี้ในตลาด โดยมีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เริ่มต้นตั้งแต่ฟาร์มเพาะปลูก ไปถึงกระบวนการผลิตสินค้า และค้าปลีก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่ให้คำปรึกษาด้านการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมารองรับและสนับสนุนได้ในทุกกระบวนการ โดยในอนาคตธุรกิจทั้งหมดนี้จะถูกเชื่อมโยงกันเป็น Ecosystem ของตัวเองด้วยการตั้งเป้าหมายความสำเร็จภายใน 5 ปี

 

อีกหนึ่งจุดแข็งคือความเชี่ยวชาญของผู้บริหารในเรื่องของสุขภาพจากความเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เภสัชกร นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญในวงการ ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าได้ตามความต้องการของตลาด และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และความเชี่ยวชาญในสายอาชีพนี้ยังส่งผลให้บริษัทสามารถพัฒนา ต่อยอดสินค้าต่าง ๆ ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ ๆ ได้เหนือกว่าคู่แข่งรายอื่น

 

นอกจากนี้ ‘ออกานิกส์ เลเจนดารี่ กรุ๊ป’ ยังมีคู่ค้าและพันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น  กลุ่มนักวิจัยทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับเวชภัณฑ์ รวมถึงล่าสุดได้ร่วมวิจัยและคิดค้นนวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมกับพันธมิตรจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีนวัตกรรมขั้นสูงอย่างเซลล์เมทริกซ์

 

โดยนวัตกรรมนี้จะเข้ามาช่วยให้การทานอาหารเสริมออกฤทธิ์ได้มีประสิทธิภาพ และแม่นยำขึ้น โดยที่ไร้ผลข้างเคียง ยกตัวอย่างเช่น สารสกัดที่เราใส่เข้าเป็นส่วนผสมไปในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะวิ่งเข้าสู่เซลล์ได้เหมือนการใช้เลเซอร์มาชี้นำทาง จึงเป็นนวัตกรรมที่ทำให้เสริมอาหารได้ตรงจุด ซึ่งทางบริษัทได้นำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้กับกระบวนการผลิตให้กับลูกค้าทั้งหมดในอนาคต

 

การที่เราเข้าสู่ตลาดเซลล์เมทริกซ์เป็นเจ้าแรก ๆ จะทำให้เรานำเจ้าอื่นไปก่อน 1 ขั้น และนั่นทำให้เรารู้ว่าข้อดี หรือข้อเสียคืออะไรก่อนเจ้าอื่น ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าเราจะผลักดันสินค้าประเภทไหนให้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งคนที่เข้าสู่ตลาดช้ากว่าจะต้องใช้เวลาในการทดสอบ และลองผิดลองถูกมากกว่าเรา

 

ในตอนท้าย ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ ได้กล่าวว่า หากพูดถึงอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพที่เราผลิตและจำหน่ายเพื่อคนไทยนั้น เราจะออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ เพราะเชื้อชาติ และยีนส์ที่แตกต่างกันจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น จะไม่มีใครรู้ดีเท่าคนไทย หากเราจะทำสินค้าสำหรับคนไทยด้วยกัน