The Success Story ‘AIA’ กับบทบาทผู้นำเสนอ Solutions ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ประกันภัย

ธุรกิจประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งทางการเงิน และการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เพื่อรับมือกับทุกวิกฤตการณ์ ดังนั้นกลยุทธ์ของบริษัทประกันชีวิตหลังจากยุค COVID-19 นอกจากจะต้องคาดการณ์ตลาดให้แม่นยำแล้ว ยังต้องสามารถเป็นผู้นำในการสร้างผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างแต่ตอบโจทย์ได้อีกด้วย

The Success Story of The Month By Business+ ฉบับเดือนมีนาคม 2566 จะพาผู้อ่านมาพบกับกลยุทธ์การบริหาร และการเปลี่ยนแปลงตลอด 85 ปี ของ ‘เอไอเอ ประเทศไทย’ ที่สามารถรับมือกับทุกวิกฤตการณ์ ด้วยการวางแผนจากการคาดการณ์ตลาดล่วงหน้า และใช้หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ในตลาด แต่ต้องสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้

เอไอเอ ประเทศไทย เป็นบริษัทประกันชีวิตที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2481 และตลอดระยะเวลา 85 ปีที่ผ่านมา เอไอเอ ประเทศไทย ได้มอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าบุคคลและองค์กร นั่นทำให้ เอไอเอ เป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ที่คนไทยนึกถึง ซึ่งเป้าหมายต่อจากนี้ของเอไอเอ คือ การมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำเสนอ Solutions ให้กับลูกค้าได้อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยให้คน 1 พันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ อีกหนึ่งเป้าหมายที่เอไอเอทั่วโลกเห็นภาพเดียวกัน คือ ต้องการช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจกโดยแรงผลักดันจากกลุ่มบริษัทเอไอเอที่มุ่งมั่นจะบรรลุพันธกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net – Zero Commitment) ภายในปี 2050


คุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด 
เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยกับ ‘Business+’ ว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งสภาพแวดล้อม และการแข่งขันในอุตสาหกรรมประกันชีวิต รวมถึงผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทย จึงมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยจุดเริ่มต้นของ เอไอเอ ประเทศไทย คือ บริษัทประกันชีวิตที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แบบสามัญ จนในปัจจุบัน เอไอเอ ประเทศไทย กลายเป็นบริษัทที่มอบความคุ้มครองรอบด้านให้กับคนไทย ทั้งด้านประกันชีวิต ประกันชีวิตควบการลงทุน และประกันสุขภาพอย่างครบวงจร

ซึ่งที่ผ่านมา เอไอเอ ประเทศไทย เป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่น ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked) เอไอเอ ประเทศไทย ก็เป็นเจ้าตลาดที่นำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เป็นรายแรก และได้รับการตอบรับอย่างดีเสมอมา

บทบาทของ เอไอเอ ประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เริ่มต้นจากบริษัทที่เน้นด้านผลิตภัณฑ์ จนปัจจุบันเราเปลี่ยนบทบาทมาเน้นการขาย Solutions ให้กับลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในทุก ๆ วันของลูกค้าเพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives ซึ่งถือเป็นปณิธานของเอไอเอในปัจจุบันคุณเอกรัตน์ กล่าว

แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ เอไอเอ ประเทศไทย

คุณเอกรัตน์ กล่าวว่า เอไอเอ ประเทศไทย มีกลยุทธ์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยการมองที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ซื้อประกันเพียงแค่ต้องการความคุ้มครอง หรือต้องการเงินเคลมประกันเท่านั้น แต่ลูกค้าต้องการซื้อประกันโดยเฉพาะประกันสุขภาพ โดยให้ความสำคัญสูงสุดคือ ต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว และหากเกิดเหตุไม่คาดคิด ประกันก็จะเป็นตัวช่วยในการแบ่งเบาภาระ

นั่นคือสาเหตุที่ประกันสุขภาพของเอไอเอ ประเทศไทย ทุกผลิตภัณฑ์มาพร้อมกับบริการเสริมมากมายที่จะช่วยให้ลูกค้าดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น อย่างเช่น เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) ผลิตภัณฑ์ประกันที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ

โดยเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์นี้คือ ต้องการช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอก็ทำให้โอกาสในการเจ็บป่วยลดน้อยลง พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ เช่น ส่วนลดเบี้ยประกัน รวมถึงสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรมากมาย เพื่อสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีบริการเสริมอื่น ๆ อย่างเช่น Telemedicine ที่สามารถให้ลูกค้าปรึกษาหมอแบบออนไลน์ได้ หรือแม้กระทั่งการเจ็บป่วยหนักก็มีบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management) ที่จะช่วยให้คำปรึกษากับลูกค้าเวลาที่เจ็บป่วย และหาทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมที่สุดให้กับลูกค้า

สำหรับประกันชีวิตควบการลงทุนของเอไอเอ ประเทศไทย จะมาพร้อมกับบริการเสริมคือ AIA​ InvestPro ซึ่งจะช่วยในการวางแผนการเงิน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าผ่านประกันชีวิตควบการลงทุนของเอไอเอ ด้วยทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่คอยบริหารเงินลงทุน และจัดสรรพอร์ตให้ลูกค้าตามความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าจริง ๆ โดยนำเสนอเป็น Solutions ที่เหมาะสม ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการนำเสนอแค่ผลิตภัณฑ์เหมือนในอดีต

นอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การสร้างความแตกต่าง และตอบโจทย์ อย่างเช่น 2 ผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่มีความโดดเด่นมากในตลาด คือ ประกันโรคร้ายแรง เอไอเอ มัลติเพย์ ซีไอ (AIA Multi-Pay CI) ซึ่งความโดดเด่นที่แตกต่างกับเจ้าอื่นในตลาด คือ ผลประโยชน์ที่สามารถให้ลูกค้าเคลมประกันซ้ำได้ใน 3 โรคร้ายแรง ได้แก่ โรคมะเร็งระยะลุกลาม กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke โดยที่เอไอเอ ประเทศไทย วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติแล้วพบว่าคนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงจะมีโอกาสกลับมาเป็นโรคดังกล่าวซ้ำอีกครั้งสูงมาก จึงมองเห็นโอกาสที่จะดูแลลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมา

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้รับเสียงตอบรับสูงมาก คือ เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver) ซึ่งเป็นประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ราคาเข้าถึงได้ ด้วยค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงเดือนละ 575 บาท ซึ่งแบบประกันนี้จะมาเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่าย แต่ยังอยากได้ความอุ่นใจและความคุ้มครองสุขภาพเบื้องต้น

คุณเอกรัตน์ กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เอไอเอมองเห็นถึงความตื่นตัวของคนไทยในเรื่องของสุขภาพ โดยพฤติกรรมของคนหันมาใส่ใจสุขภาพและมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเติบโตค่อนข้างชัดเจน ขณะที่ก่อนหน้านี้ ประกันชีวิตควบการลงทุนก็ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันออมทรัพย์ทั่วไปมีความน่าสนใจน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอาจจะทำให้ประกันชีวิตประเภทนี้ชะลอความน่าสนใจลงไปบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน ผู้แนะนำด้านการเงินและการลงทุน (Financial Advisor) ได้สร้างความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนให้แก่ลูกค้ามากขึ้น ว่าการลงทุนประเภทนี้ในระยะยาวมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ทั่วไป จึงทำให้ประกันชีวิตควบการลงทุนยังเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่คนยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง

“อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เอไอเอให้ความสำคัญมากและได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี คือประกันโรคร้ายแรง ที่ให้ความคุ้มครองแตกต่างกับประกันสุขภาพทั่วไป เพราะโรคร้ายแรงจะมีค่ารักษาค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจุบันเอไอเอ ได้เห็นข้อมูลทางสถิติว่า คนไทยมีโอกาสเป็นโรคร้ายแรงสูง ทางเอไอเอจึงได้ออกแบบผลิตภัณฑ์บนความคุ้มครองที่เหมาะสมและได้ให้คำแนะนำลูกค้าว่า หากมีประกันสุขภาพแล้วก็ควรมีประกันโรคร้ายแรงเสริมด้วย เพราะผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทนี้สามารถทำงานร่วมกันได้” คุณเอกรัตน์ กล่าว

กลยุทธ์การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง

คุณเอกรัตน์ กล่าวว่า กลยุทธ์การออกแบบผลิตภัณฑ์ของเอไอเอ ที่เป็นข้อได้เปรียบ Player อื่น ๆ ในตลาด มีอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ

1. ข้อได้เปรียบของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในหลายประเทศ โดยเอไอเอเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทย จะทำการวิจัยทางการตลาด และหาแนวทางในการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยการศึกษานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในประเทศต่าง ๆ รวมถึงศึกษากลยุทธ์ และนำมาปรับเพื่อพัฒนาให้เหมาะสมกับประเทศไทย เพราะการทำ Benchmarking ก็สามารถให้แนวคิดสำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง และรองรับความต้องการของลูกค้าได้

2. การทำวิจัย โดยที่เอไอเอ จะนำแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ไป Develop กับลูกค้ามากขึ้น และศึกษาว่า Pain Point คืออะไร และจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ยั่งยืน และตอบโจทย์ Stakeholder ทั้งหมด ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่ากับลูกค้า ไปพร้อม ๆ กับสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัท

ต่อยอดผลิตภัณฑ์จากปี 2565 สู่ความครอบคลุมเหนือกว่าในปี 2566

คุณเอกรัตน์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาของเอไอเอ ประเทศไทย ที่โดดเด่นมากที่สุด คือ เอไอเอ อินฟินิท แคร์ (AIA INFINITE CARE) ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองสูงสุดได้ถึง 120 ล้านบาท หรือ 60 ล้านบาท และมีจุดเด่นคือ คุ้มครองหากต้องการเข้ารับการรักษาในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ลูกค้าที่มีประกันประเภทนี้อุ่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด และมีทางเลือกในการรักษาที่กว้างขึ้นเพราะมีวงเงินประกันค่อนข้างสูง

และอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์คือ เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้ (AIA Health Happy) ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายภายใต้คอนเซปต์ “เหมา เบิ้ล คุ้ม” คุ้มครองสูงสุด 25 ล้านบาท ซึ่งแบบประกันนี้ได้รับความสนใจมากจากการที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองโรคร้ายแรงด้วย เพราะจะให้ความคุ้มครองแบบดับเบิ้ลถึง 4 ปีกรมธรรม์ด้วยกัน หากป่วยเป็นโรคร้ายแรงตามที่กรมธรรม์กำหนดจะทำให้ผู้เอาประกันภัยมีเงินก้อนเพื่อรักษาและดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองผลิตภัณฑ์มีเบี้ยประกันภัยค่อนข้างสูง ดังนั้น เอไอเอจึงต่อยอดความสำเร็จนี้ สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver) โดยปรับราคาให้ต่ำลง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบบประกันนี้ได้ ด้วยความคุ้มครองสูงสุดอยู่ที่ 500,000 บาท และเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 575 บาทต่อเดือน ซึ่งการออกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายนี้ทำให้เอไอเอเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

นอกจากนี้ ความพิเศษคือ ลูกค้าประกันสุขภาพของเอไอเอทั้ง 3 รูปแบบจะสามารถเข้าร่วมโปรแกรม เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) ที่จะช่วยให้ลูกค้าดูแลสุขภาพตัวเองได้ดี และมีวินัยมากขึ้น จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่เอไอเอแนะนำ และหากสามารถทำตามเป้าหมายได้ ก็จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยสูงสุด 25%

เราพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำวิจัยทางการตลาด และมองหาว่ายังมีอะไรที่เราสามารถทำเพิ่มได้เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ดีขึ้น ซึ่งเอไอเอในปัจจุบันมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมด้านประกันชีวิต ประกันยูนิต ลิงค์ ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง แต่เชื่อว่าในอนาคตยังมีโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยดูแลคนไทยได้อีกมากมาย” คุณเอกรัตน์ กล่าว

ปรับกลยุทธ์รองรับ Aged Society

อีกหนึ่งเทรนด์ที่เอไอเอให้ความสำคัญอยู่ต่อเนื่อง คือ สังคมผู้สูงอายุ (Aged society) โดยคุณเอกรัตน์ มองว่า การที่ประเทศไทยมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่ทำให้เอไอเอได้ขยายระยะเวลาคุ้มครองในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ให้ได้สูงสุดถึงอายุ 99 ปี ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยด้านสุขภาพของลูกค้าแล้ว ยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของสังคมไทย ด้วยการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เหมาะสม และนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีพร้อมกับมีอายุที่ยืนยาวได้อีกด้วย

ขณะเดียวกันเอไอเอยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนเกษียณให้กับลูกค้า โดยที่การวางแผนเกษียณต้องเริ่มต้นตั้งแต่เนิ่น ๆ ทางเอไอเอจึงได้สื่อสารและสร้างความเข้าใจเพื่อให้ลูกค้าวางแผนการเงิน และวางแผนประกันชีวิต สำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในช่วงบั้นปลาย

“กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนจะมีส่วนช่วยในเรื่องของสังคมผู้สูงอายุได้ค่อนข้างมาก เพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว และทางเอไอเอมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ทำให้ความเสี่ยงลดลง จึงมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งผลตอบแทนที่ลูกค้าได้รับนี้ก็จะช่วยเพิ่มพูนเงินออมให้กับผู้สูงอายุสามารถนำไปใช้เพื่อเข้ารับการรักษาที่ดี หรือนำเงินไปใช้ในด้านอื่น ๆ ได้ คุณเอกรัตน์ กล่าว

สำหรับภาพรวมเรื่องความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยนั้น ทางเอไอเอได้รับมือด้วยการสร้างความเข้าใจกับลูกค้าอย่างชัดเจนว่า เป้าหมายหลักของประกันชีวิตควบการลงทุนคือความคุ้มครอง และการลงทุนในระยะยาว โดยที่เอไอเอได้วางแผนการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว และมีผู้เชี่ยวชาญดูแลพอร์ตการลงทุนให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้เอาประกันภัยได้ โดยที่เอไอเอจะแนะนำการลงทุน และให้ทำแบบประเมินความเสี่ยง เพื่อแนะนำลูกค้าว่าสามารถรองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน และจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้

นอกจากนี้ เอไอเอยังมองหาสินทรัพย์ หรือการลงทุนที่มีแนวโน้มจะสร้างผลตอบแทนที่ดีอยู่สม่ำเสมอ ด้วยการทำ Tactical เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายมากที่สุด

หากพูดถึงความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแล้ว ต้องยอมรับว่าบริษัทประกันภัยหลายแห่งได้มีความแข็งแกร่งลดน้อยลงหลังจากเจอการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่สำหรับ เอไอเอ ประเทศไทยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

โดยคุณเอกรัตน์ กล่าวกับเราว่า ความแข็งแกร่งของเงินกองทุนเป็นสิ่งที่เอไอเอให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่เป็นหัวใจของบริษัทประกันหรือธุรกิจบริหารความเสี่ยง คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกค้า เศรษฐกิจ หรือเกิดวิกฤต เราจะต้องมีความมั่นคงมากพอเพื่อดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นความมั่นคงทางการเงินจึงเป็นเรื่องที่เอไอเอให้ความสำคัญมาโดยตลอด ด้วยระดับของอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) ต้องสูงกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนด และต้องบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่รับได้

แนวทางการบริหารองค์กรด้วยหลัก ESG

คุณเอกรัตน์ กล่าวถึงการให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ว่าปณิธานหลักข้อหนึ่งของกลุ่มบริษัทเอไอเอ คือ เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และสร้างความแตกต่างให้กับทุกประเทศที่เราดำเนินธุรกิจ โดยหลัก ๆ แล้ว เอไอเอให้ความสำคัญ ทั้ง 2  ด้าน คือ ด้าน Health & Wellness และ Net Zero โดยเอไอเอตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าภายในปี 2030 ต้องการช่วยให้คน 1 พันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านโครงการดูแลและส่งเสริมสุขภาพไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเอไอเอหรือไม่ก็ตาม

ขณะที่แผนสำหรับการลดคาร์บอนไดออกไซด์นั้น เอไอเอได้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงการลดการใช้ทรัพยากร อย่างเช่น กระดาษ หรือลดการใช้ทรัพยากรไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น รวมทั้งสร้างแนวความคิดและการปฏิบัติให้เกิดเป็น Environmentally friendly มากที่สุด

ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตในมุมมองของ ‘เอไอเอ’

คุณเอกรัตน์ เชื่อว่าธุรกิจประกันของประเทศไทยยังไปได้อีกไกล เพราะอุตสาหกรรมมีการเติบโตตลอดเวลา และประเทศไทยยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่มีประกัน แต่ความท้าทายของธุรกิจนี้คือ ต้องสื่อสาร และสร้างความเข้าใจให้คนเริ่มต้นวางแผนการเงิน วางแผนด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงการทำประกันตั้งแต่เนิ่น ๆ  เพราะลูกค้าจำเป็นต้องศึกษา และมีความรู้ความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตในระดับหนึ่ง ซึ่งหากทั้งอุตสาหกรรมประกันทำความเข้าใจร่วมกัน และช่วยให้ความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง คนในสังคมก็จะเปิดรับ และเริ่มวางแผนทางการเงินที่ดีขึ้น

สำหรับความท้าทายที่เหลือจะมาในเรื่องของความผันผวนจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทประกันชีวิตก็ต้องมีการปรับผลิตภัณฑ์ และปรับราคาให้เหมาะสมกับภาวะตลาด

“เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจผลิตภัณฑ์มากขึ้น และทำอย่างไรให้คนหันมาวางแผนทางการเงิน หรือวางแผนสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมกันนั้นต้องคำนึงถึงเป้าหมายหลักของธุรกิจ ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ต้องการที่จะรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตของไทย และอยากจะเป็นประกันชีวิตที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรก คุณเอกรัตน์ กล่าว

จากกลยุทธ์การบริหาร และแนวความคิดในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงจุดแข็ง และความได้เปรียบจากการมีธุรกิจในหลากหลายประเทศ เข้ามาผสมผสานกับความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และการทำวิจัยทางการตลาด ได้ทำให้เอไอเอ ประเทศไทย เป็นแบรนด์ประกันชีวิตที่คนไทยนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ มาตลอดระยะเวลา 85 ปี ซึ่งแผนต่อไปจากนี้ ยิ่งทำให้บริษัทแห่งนี้มีความน่าสนใจในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และการนำเสนอ Solutions ที่ตรงใจคนไทยเพื่อก้าวเป็นผู้นำในตลาดประกันชีวิตต่อไปอีกยาวนาน

หากใครต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้ารับชมฉบับวีดีโอได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=XmNDldD3DZM