หากพูดถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งศตวรรษที่ 21 คงจะไม่มีโครงการไหนในโลกจะยิ่งใหญ่เท่ากับ โครงการเส้นทางสายไหม หรือ One Belt and One Road ที่ตอนหลังถูกเรียกใหม่ว่า The Belt and Road Initiative (BRI) โดยโครงการนี้มีหัวเรือใหญ่ผู้ผลักดันคนสำคัญคือ ประเทศจีน และยุทธศาสตร์นี้ปรากฏต่อประชาคมโลกครั้งแรกในปี 2013 ในช่วงที่ท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางไปเยือนประเทศคาซักสถาน และได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการนี้เป็นครั้งแรกที่นั่น (การไปเยือนประเทศคาซักสถานของนายสี จิ้นผิง ได้พูดถึงในส่วนของ One Belt ซึ่งจะเชื่อมโยงเครือข่ายถนนและเส้นทางรถไฟเพื่อเชื่อมจีนกับประเทศในยุโรปผ่านเอเชียกลาง)
และเดือนตุลาคมในปีเดียวกัน นายสี จิ้นผิง ได้พูดถึงโครงการนี้อีกครั้งระหว่างเดินทางไปเยือนประเทศอินโดนีเซียในงานประชุมอาเซียนซัมมิท (ในรอบนี้ได้พูดถึง One Road ซึ่งเป็นการเปิดตัวเส้นทางสายไหมทางทะเล ที่จะเชื่อมท่าเรือของจีนกับท่าเรือของประเทศในตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป) โดยโครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงการคมนาคมทางบกและทางทะเล พร้อมปรับปรุงท่าเรือและสร้างศูนย์การผลิตอุตสาหกรรมและการค้าขึ้น
โครงการ The Belt and Road Initiative นี้จะครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 68 ประเทศทั่วโลก พร้อมเงินลงทุนที่คาดว่าจะสูงถึง 1.2 – 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว (ปี 2027) สำหรับการลงทุนในระบบเครือข่ายขนส่ง พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมที่จะพาดผ่านทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา มันคือการให้การสนับสนุนด้านเงินทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของโลกที่จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศ และวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัยสำหรับรัฐบาลจีน โดยเส้นทางสายไหมถือเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่อายุยืนยาวด้วยระยะทางกว่า 8,000 ไมล์ พร้อมกับการเดินทางที่ยากลำบาก และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์คาดว่ามีมาตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช นั่นแสดงให้เห็นว่าชาวจีนมีการติดต่อกับต่างชาติมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงการค้าขายโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพงอย่างเช่นผ้าไหม ซึ่งมีการส่งไปขายที่ราชสำนักโรม (ยุโรป) และนี้ได้สะท้อนอารยธรรมโบราณอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของจีนที่มีต่อโลกใบนี้
ประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหมเดิมนั้นเกิดขึ้นในช่วง ราชวงศ์ฮั่น 206 ก่อนศักราชปัจจุบัน – ค.ศ. 220 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งขยายเครือข่ายการค้าให้ครอบคลุมไปทางตะวันตก ที่ครอบคลุมตั้งแต่ประเทศในเอเชียกลางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอัฟกานิสถาน คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน รวมไปถึงอินเดีย ปากีสถาน และมุ่งลงสู่ทิศใต้ต่อไป นั้นทำให้เส้นทางเหล่านี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4,000 ไมล์ ไปถึงยุโรปเลยทีเดียว
เอเชียกลางนั้นถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของคลื่นลูกแรกของโลกาภิวัตน์ (Globalization) ซึ่งเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศทางตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน รวมไปถึงการกระจุกตัวของความมั่งคั่งขนาดใหญ่ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา ขณะที่สินค้าขึ้นชื่อของประเทศจีนในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็น ผ้าไหม เครื่องเทศ หยก และสินค้าอื่น ๆ ได้มุ่งหน้าสู่ตะวันตก พร้อมกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยทองคำ แร่เงินอื่น ๆ งาช้าง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว โดยเส้นทางสายไหมได้ก้าวไปสู่จุดสูงสุดในช่วงเวลาระหว่าง 1,000 ปี ซึ่งเป็นช่วงของ ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 907) ขณะที่ทางฝั่งยุโรปเป็นโรมยุคแรก และจักรวรรดิไบแซนไทน์
แต่สงครามครูเสดและความก้าวหน้าของมองโกเลียในเอเชียกลาง ได้ทำให้เส้นทางการค้าสายนี้หยุดชะงัก ซึ่งทำให้ประเทศในเอเชียกลางแยกตัวทางเศรษฐกิจออกจากกัน โดยปัจจุบันการค้าในภูมิภาคนี้คิดเป็น 6.2% ของการค้าทั้งโลกเท่านั้น และพวกเขาก็ต้องพึ่งพารัสเซียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการโยกย้ายเงิน ซึ่งตรงนี้คิดเป็นหนึ่งในสามของ GDP คีร์กีซสถานและทาจิกิสถาน และในปี 2018 การชำระเงินของพวกเขาลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2013 เนื่องจากรัสเซียมีปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก นั่นทำให้เห็นว่าการพึ่งพารัสเซียเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกต่อไป
จีนวางแผนอะไรสำหรับเส้นทางสายไหมครั้งใหม่นี้
อย่างที่ได้เกริ่นไปในช่วงแรกว่าโครงการนี้มีแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ก็คือในส่วนของคมนาคมทางบกและทางทะเล ซึ่งวิสัยทัศน์ของท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเรื่องนี้คือ การสร้างโครงข่ายการเดินทางทางรางขนาดมหึมา ท่อส่งพลังงาน ทางหลวงขนาดใหญ่ และการข้ามเขตแดนที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยไปทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นการผ่านภูเขาจำนวนมากของอดีตสหภาพโซเวียต ด้านทิศใต้จะผ่านประเทศปากีสถาน อินเดีย (ณ ข้อมูลล่าสุด อินเดียไม่เอาด้วยกับโครงการนี้ หลังโครงการนี้วิ่งผ่านพื้นที่ทับซ้อนที่ทางปากีสถาน และอินเดีย และต่างอ้างว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของตัวเอง) รวมไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโครงการนี้จะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายเงิน หยวน หรือที่เรียกในอีกชื่อว่า เหรินหมินปี้ ในระดับนาน ๆ ชาติให้มากขึ้น
ตรงนี้จะทำให้สกุลเงินของจีนมีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้น (และถือเป็นการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐไปด้วย) และถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการผลักดันตัวเองให้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกด้านเศรษฐกิจหมายเลข 1 โดยสมบูรณ์ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งทาง IMF คาดกันว่าจีนจะก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลกในปี 2028 จากเดินที่คาดไว้คือ 2030
มูลค่า GDP ของประเทศจีนตั้งแต่ปี 2015 – 2025
ปี มูลค่า GDP
2015 11,113.53
2016 11,227.08
2017 12,265.32
2018 13,841.9
2019 14,731.81
2020 15,222.16
2021* 16,834.59
2022* 18,240.57
2023* 19,745.8
2024* 21,369.44
2025* 23,089.16
ที่มา : IMF
หมายเหตุ : 2021 – 2025 เป็นการคาดการณ์
จีนมีแผนจะพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภายใต้โครงการนี้ถึง 50 เขต ในรูปแบบเดียวกับที่ทำกับเมืองเซินเจิ้น (เซินเจิ้น ถูกเปิดตัวในฐานะเขตเศรษฐกิจพิเศษครั้งแรกในปี 1980 ระหว่างการปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้การนำของท่านประธานาธิบดีเติ้ง เสี่ยว ผิง) โดยจากการประเมินของนักวิเคราะห์ ระเบียงเศรษฐกิจที่จะมุ่งพัฒนาอย่างท่าเรือกวาดาร์ที่ทำกับทางประเทศปากีสถานเพียงลำพัง อาจจะต้องใช้เงินสูงถึง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากรวมทั้งโครงการ ตอนนี้จีนใช้เงินไปแล้วกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ
จีนหวังจะบรรลุผลอะไรจากโครงการนี้
สิ่งที่เป็นแรงจูงใจ 2 เรื่องสำคัญที่ซ่อนอยู่หลังความริเริ่มนี้คือ การมีอิทธิพลในเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์โลก และความคิดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาในช่วงเวลาที่การเติบโตลดลง พร้อมกับการค้าที่ตึงเครียดซึ่งสัมพันธ์กับการที่สหรัฐอเมริกาเริ่มกดดันจีนให้เปิดตลาดใหม่สำหรับการซื้อขายสินค้า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์ว่าโครงนี้ถือเป็นหนึ่งในนโยบายอันโดดเด่นภายใต้การเป็นผู้นำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคียงคู่กับ The Made in China 2025 ซึ่งเป็นกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ
นอกจากนั้นวิสัยทัศน์นี้ยังถูกมองเป็นการแสดงถึงการต่อต้านกลยุทธ์ในเอเชียของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า ‘Pivot to Asia’ ส่วนมิติอื่น ๆ โครงการนี้ยังถูกมองว่าจะเป็นวิธีการที่จีนจะพัฒนาโอกาสทางการลงทุนใหม่ ๆ พัฒนาตลาดส่งออก และสนับสนุนรายได้ รวมไปถึงการบริโภคภายในประเทศ
ในเวลาเดียวกัน จีนก็มีแรงบันดาลใจที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจโลกเพื่อเชื่อมโยงกับภูมิภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งในประวัติศาสตร์มักถูกละเลย โดยมีฐานสำคัญที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (เป็นเขตปกครองตนเองของจีนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเขตปกครองใหญ่ที่สุดของจีน) ที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นเส้นทางส่งพลังจากเอเชียกลางและตะวันออกลางมาจีน โดยไม่มีกองทัพสหรัฐเข้ามายุ่งเกี่ยว
ขณะที่ในมุมเศรษฐกิจแบบกว้าง ๆ มันคือการบอกว่า ผู้นำของจีนได้ตัดสินใจกำหนดแนวทางเพื่อหลีกเลี่ยงกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของหลายประเทศตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 และนั่นจะทำให้ค่าแรงสูงขึ้น คุณภาพชีวิตได้รับการพัฒนา ขณะที่จะมีการเพิ่มขึ้นของการผลิตที่ต้องใช้ทักษะขั้นต่ำ ขณะที่หลายประเทศต้องดิ้นรนที่จะผลักดันตัวเองไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง
LINK ตอนที่ 2
.
The Belt and Road Initiative เส้นทางสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของ ASIA และ THAILAND (ตอนที่ 2)