ถอดรหัสแผนเติบโต ‘สิงห์ เอสเตท’ ภายใต้กลุ่มธุรกิจใหม่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการ ที่เกี่ยวเนื่อง

จนถึงตอนนี้ไม่มีใครตั้งคำถามอีกแล้วว่า ทำไม บมจ. สิงห์ เอสเตท (S) บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย จึงมีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด และถูกจับตามองถึงการเติบโตที่น่าสนใจ

ก็ต้องยอมรับว่า จากความทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บมจ. สิงห์ เอสเตท (S) ได้เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับองค์กรได้สำเร็จ

สร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ราว 11,000 ล้านบาท เติบโตกลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 65,000 ล้านบาทในเวลาไม่นาน

ที่น่าสนใจกว่านั้น ปีนี้นั้น คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เรากำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจของสิงห์ เอสเตท

โดยจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำ สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทยที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี”

คำกล่าวของคุณจุตินันท์ ระบุชัดว่า ‘สิงห์ เอสเตท’ กำลังตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่คำถามคือ องค์กรมีความพร้อมมากแค่ไหน กับเป้าหมายนี้ ?

ลองมาฟังคำตอบจากคุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท ที่เปิดเผยกับ Business+ ว่า สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัว ให้กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี

คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท

พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 65,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ไปเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 80,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 และในขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย

“การพัฒนาโครงการขนาดยักษ์หลากหลายโครงการในประเทศไทย และการเดินหน้าบูรณาการธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา”

คุณฐิติมา กล่าวต่อไปว่า การแพร่ระบาดของ Covid-19 เป็นสิ่งยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทฯ ในการวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เพื่อจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี ได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก

โดยปี 2563 ที่ผ่านมา 3 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทฯ

ทราย ลากูน มัลดีฟส์ ลากูน คูลิโอ คอลเลคชั่น บาย ฮิลตัน

“เราหวังว่าจากนี้เป็นต้นไป กลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม และจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างมากมาย” คุณฐิติมากล่าว

“ด้วยแนวทางการเดินหน้า 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท จะทำให้เรามีจุดโดดเด่นที่แตกต่าง และทำให้เราเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้มากกว่า

นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น จากการเติมเต็มซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และการบูรณาการธุรกิจ

สิงห์ คอมเพล็กซ์ อาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า

พร้อมกันนี้ ก็จะช่วยให้เรามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จากการที่ธุรกิจในเครือมีวงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน มีรูปแบบความเสี่ยงไม่เหมือนกัน และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ”

ถึงตรงนี้เราจะเห็นว่า ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคตขององค์กร ดังนั้นการตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัว ภายใน 3 ปี จากการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ จึงเป็นก้าวเดินที่น่าสนใจยิ่ง

นั่นหมายความว่า การที่ สิงห์ เอสเตท กำลังพาตัวเองรุกเข้าสุ่ธุรกิจ S Curve ที่เป็นกระแสแรงอย่างธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ โดยจะผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน

The ESSE อโศก คอนโด High Rise ใจกลางอโศกโครงการแรก จาก สิงห์ เอสเตท

“ด้วยความแข็งแกร่งทางการเงินของเราจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราที่ต่ำ อยู่ที่ 0.96 เท่า ประกอบกับการมีเครดิตดี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท ทำให้เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะเดินหน้ากลุ่มธุรกิจที่ 4 ของเรา”คุณฐิติมากล่าว

จากทั้งหมดที่บอกมา จะเห็นว่า สิงห์ เอสเตท กำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ๆ จากเทรนด์ระดับโลกมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจของงองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business) เพราะ Covid-19 ได้ทำให้ทุกองค์กรเห็นแล้วว่า โลกใบเดิมจะไม่เหมือนเดิม

เช่นเดียวกับ สิงห์ เอสเตท ซึ่งจะขอเติบใหญ่ในบริบทที่รวดเร็วเดิม