“มาซาโยชิ ซัน” จากพลเมืองชั้น 2 สู่เจ้าพ่อเทคโนโลยีเบอร์ 1 ของญี่ปุ่น

มาซาโยชิ ซัน ชายผู้เริ่มทุกอย่างจากความพยายามและความฝัน ชีวิตของ มาซาโยชิ เต็มไปด้วยเรื่องราวและสีสันที่ได้แต่งแต้มโลกใบนี้ที่แสนโหดร้ายในแต่ละวันและวินาทีให้เต็มไปด้วยความหวัง ตัวเขาเป็นชาวเกาหลีอพยพเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นนั้นคือเหตุผลว่าทำไมถึงมีนามสกุล ซัน เกิดปี 1957 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งจบไปไม่นาน และเนื่องจากพ่อแม่ของเขาเป็นชาวเกาหลีอพยพ นั่นทำให้เขาถูกกีดกันจากสังคมของชาวญี่ปุ่นซึ่งตอนนั้นมีความเป็นชาตินิยมสูงอยู่ตลอด บางครั้งในระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียนก็เคยโดนเพื่อนเอาก้อนหินปาใส่หัวมาแล้ว แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านจะเจอคุณพ่อของเขาคอยปลอบตลอดเวลาพร้อมกับประโยคธรรมดาที่วันหนึ่งจะไม่ธรรมดา “ลูกคือเบอร์หนึ่ง” การกีดกันรุนแรงขนาดถึงกับต้องเปลี่ยนนามสกุลเพื่อให้ใช้ชีวิตได้ก็ทำมาแล้วคือ “ยาสึโมโต” เพื่อให้ชีวิตราบรื่นขึ้น

จุดเปลี่ยนสำคัญของ มาซาโยชิ อยู่ที่การเพียรพยายามที่จะพบกับชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า เด็น ฟูจิตะ หนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของประเทศญี่ปุ่นขณะนั้นให้ได้ เขาเพียรพยายามมากมายทั้งโทรหาคุณ ฟูจิตะ ผ่านเลขา แน่นอนว่าล้มเลว สุดท้ายตัดสินใจบินไปพบ ก็ถูกกีดกัน แต่ความไม่ยอมแพ้ในที่สุดก็ได้พบ แม้จะเวลาแค่สั้น ๆ แต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะนำมาสู่การสร้างตำนานบริบทใหม่บนโลกใบนี้

มาซาโยชิ ซัน : ผมอยากทำธุรกิจและจะทำธุรกิจอะไรดี
เด็น ฟูจิตะ : ต้องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สิเพราะมันคืออนาคต

คุณเด็น ฟูจิตะ ได้แนะนำเขาให้ไปเรียนต่อที่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งสุดท้าย มาซาโยชิ ก็ออกเดินทางไปสหรัฐ หลังจากนั้นไม่นาน หลังเรียนจบเขากลับมาที่ญี่ปุ่น พร้อมกับอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรไป 18 เดือน เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอให้ได้ว่าอยากจะทำอะไรกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าถูกครอบครัวตำหนิและไม่พอใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากคิดได้ บริษัท Softbank ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยช่วงแรกของบริษัทมุ่งขายผลิตภัณฑ์ ซอฟต์แวร์ ในปี 1981 ด้วยเงิน 3 ล้านบาท มีพนักงานแค่ 2 คน พร้อมกับการประกาศกร้าวบนกล่องใส่ของกับพนักงาน 2 คนว่าต่อไปบริษัทเราจะมียอดขาย 75 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี พร้อมผู้จัดจำหน่ายให้เรา 1,000 ราย และเป็นผู้จัดจำหน่าย ซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์พีซี หมายเลขหนึ่ง แน่นอนทุกอย่างจบด้วยพนักงานคิดว่าเขาบ้าและลาออก!!

แต่ก็นั้นแหละความบ้าของเขาคือจุดเริ่มต้นของบริษัท Softbank มูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐในเวลาต่อมา มาซาโยชิ พาบริษัทขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในญี่ปุ่นได้ในที่สุด พร้อมกับเป็นผู้จำหน่ายสินค้าของ Apple แต่เพียงผู้เดียวในญี่ปุ่น

ปี 2010 เขาประกาศแผนวิสัยทัศน์ 300 ปี โดยมุ่งลงทุนในการพัฒนาสมองคอมพิวเตอร์เตรียมไว้สำหรับการเติบโตในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า และในปี 2017 เขาได้ตั้งกองทุนที่ชื่อว่า Softbank Vision Fund ขึ้นเพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลกร่วมกับ ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย, Qualcomm, Foxconn, Apple และแลร์รี่ เอลลิสัน โดยระดมทุนได้มากถึง 100,000 ล้านเหรียญ

แต่แม้ชีวิตของ มาซาโยชิ จะประสบความสำเร็จขนาดนี้เขาก็ยังคงทำผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ โดยเรื่องใหญ่ล่าสุดที่ทุกคนจำได้ดีคือการออกมายอมรับความผิดพลาดต่อนักลงทุนที่เชื่อในตัวเขาทั้งหลาย ในกรณีการลงทุนบริษัท WeWork ซึ่งทำธุรกิจให้บริการ Co-Working Space ซึ่งตอนหลังออกอาการจะไม่ Work เหมือนชื่อสักเท่าไร เพราะขาดทุนตลอดเวลา แถมผู้บริหารก็มีพฤติกรรมไม่ซื่อตรงนัก ทำให้มูลค่าก่อนเข้าตลาดที่ประมาณกันว่าจะอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท ตอนนี้เหลือ 100,000 ล้านบาท เท่านั้น น้อยกว่าเงินลงทุนก้อนแรกที่พวกเขาลงทุนเสียอีกที่ 140,000 ล้านบาท

แต่สิ่งที่ทำให้เหตุความผิดพลาดครั้งนี้มีเรื่องราวน่าประทับใจคือ การที่ตัวเขาออกมายอมรับว่า “ผมโง่มากที่ตัดสินใจลงทุนใน WeWork.. ผมคิดผิดไป” นี่คือความกล้าหาญที่จะยอมรับในเวลาที่ตัวเองตัดสินใจผิดพลาดโดยไม่เอาแต่โยนความผิด หรือวิ่งหนีปัญหาเหมือนคนส่วนใหญ่ทำกัน

จะเห็นว่าชีวิตของ มาซาโยชิ ซัน นั้นมีแต่อุปสรรคมากมาย แต่นั้นไม่ได้หยุดความฝันของชายคนนี้แม้แต่น้อย ดั่งคำพูดที่เขาเคยประโยคหนึ่งว่า “อย่าหาข้ออ้างว่าการต่อสู้ในสมรภูมิมันดุเดือดสักเพียงไหน หรือคู่ต่อสู้เก่งและดีกว่าคุณสักเพียงใด เราต้องฝ่าฟันไปให้ได้”

ที่มา : หนังสือ Masa Way

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #มาซาโยชิซัน #Softbank #SoftbankVisionFund #ญี่ปุ่น #MasaWay