อสังหาฯเจ้าไหนมีคอนโดฯ มากที่สุด เสี่ยงเจ็บหนักหลังเกิด ‘แผ่นดินไหว’

April 1, 2025

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่กระทบทั้งในแง่ของความเสียหายของโครงการต่าง ๆ และในด้านความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน หลังจากที่มีภาพถ่ายแสดงถึงความเสียหายของโครงการหลายแห่งจากเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวตามโซเชียลมีเดีย ในขณะที่ก่อนหน้านี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอยู่ก่อนแล้ว

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แผ่นดินไหวอาจส่งผลกระทบต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แต่ละรายไม่เท่ากัน เพราะหากอ้างอิงจากนักธรณีวิทยา แผ่นดินไหวครั้งเมื่อสัปดาห์มีจุดเริ่มต้นมาประเทศเมียนมาร์ ที่อยู่ห่างจากไทยมาก ส่งผลให้กรุงเทพฯ เผชิญกับ “แผ่นดินไหวคลื่นยาว” ที่มีผลกระทบต่ออาคารสูงมากกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลาย ๆ คนที่อยู่บนอาคารสูงรู้สึกว่าพื้นแกว่งมากกว่าคนที่อยู่อาคารเตี้ย

ด้วยเหตุนี้เอง ตึกสูงหลายแห่งจึงได้รับความเสียหายมากกว่าอาคารเตี้ย ทำให้เราได้เห็นภาพคอนโดฯ ที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากตามโซเชียลมีเดีย โดยเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เน้นทำธุรกิจคอนโดฯ มากกว่าบ้านเดี่ยว เพราะบริษัทต้องเร่งซ่อมแซมความเสียหายของตัวอาคาร รวมถึงเรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคถึงความปลอดภัยของอาคารด้วย

โดยจากอินโฟกราฟิก ซึ่งรวบรวมรายได้จากการขายอสังหาฯ ของ 8 บริษัทในปี 2567 และแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็นรายได้จากการขายโครงการแนวราบและสูง เราจะเห็นได้ว่ามี 3 บริษัท ที่มีสัดส่วนรายได้จากการขายคอนโดฯ มากกว่า 50% ของรายได้รวมได้แก่

– บมจ. แอสเซทไวส์ รายได้จากการขายคอนโดฯ 8,471 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 91.4% ของรายได้รวม

– บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ รายได้จากการขายคอนโดฯ 4,445 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 81% ของรายได้รวม

– บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ รายได้จากการขายคอนโด 5,992 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 67.8% ของรายได้รวม

ในขณะที่ บริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวสูงน้อยที่สุดก็คือ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้จากการขายคอนโดฯ ที่ 3,455 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 9.7% ของรายได้รวม

ในตอนนี้ เรายังไม่สามารถวัดได้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจขนาดไหน แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็น่าจะสะท้อนออกมาในงบการเงินของบริษัทเหล่านี้ ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่จากเดิมกำลังเจอปัญหาตลาดชะลอตัวอยู่ก่อนแล้ว ต้องมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีก