การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2024 จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน ซึ่ง 2 ตัวเต็งที่คะแนนสูสีกัน คือ โดนัลด์ ทรัมป์ กับ คามาลา แฮร์ริส ซึ่งถึงแม้ว่าทั้ง 2 พรรคจะมีจุดยืนแตกต่างกัน โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ แต่จริงๆแล้ว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงไทย อาจจะไม่ต่างกันเลย
ข้อมูลจาก KKP Research วิเคราะห์ว่า การเลือกในครั้งนี้อาจเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก และไม่ว่าใครจะชนะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่แตกต่างกันนัก จากนโยบายการค้าที่หันมากีดกันคู่ค้ามากขึ้น ต่างกันเพียงว่าใครจะกีดกันมากหรือน้อย
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้สหรัฐกีดกันการค้ามากขึ้นเพราะช่วงที่ผ่านมาสหรัฐได้สูญเสียส่วนแบ่งในภาคการผลิตให้แก่ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะจีน และทำให้การจ้างงานของแรงงานในภาคการผลิตสหรัฐฯ หดตัวลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2543 จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่ประโยชน์จากการค้าเสรีไม่สามารถชดเชยกับการจ้างงานที่หายไป ความไม่พอใจของกลุ่มแรงงานได้ก่อตัวขึ้น ลุกลามไปยังภาคการเมือง ทำให้นโยบายทางการเมืองไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหันมาเน้นภาคการผลิต และการจ้างงานในประเทศ
ดังนั้น สหรัฐฯ จึงพยายามออกแบบนโยบายเพื่อนำการลงทุนกลับมาในประเทศตัวเอง ด้วยการหันไปเน้นการผลิตภายในประเทศ และออกนโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเมืองระหว่างประเทศกับประเทศอื่น อย่างจีน รัสเซีย อิหร่าน ยิ่งเป็นผลักดันให้แต่ละพรรคการเมืองต้องพึ่งพาตัวเอง
ดังนั้น การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ว่าใครจะชนะ ก็จะไม่เห็นการค้าโลก เป็นแบบ globalization หรือ โลกาภิวัตน์ ที่จะมีการแผ่ถึงกันทั่วโลก ดังนั้น ต่อจากนี้เราอาจไม่ได้เห็นการค้าโลกเติบโตรุ่งเรืองแบบในอดีต เพราะทั้งพรรคเดโมแครต และพรรครีพับริกัน ต่างมีนโยบายที่กีดกันทางการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่นทั้งคู่ ต่างกันเพียงแค่รายละเอียด และเครื่องมือที่ใช้เท่านั้น
โดย “ทรัมป์” จะมุ่งเน้นไปที่การขึ้นภาษีนำเข้าต่อประเทศคู่ค้าในทุกสินค้า ขณะที่ “แฮร์ริส” อาจสานต่อนโยบายของไบเดน คือ กีดกันการเข้าถึงเทคโนโลยี และใช้การขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าสำคัญในบางประเภทเท่านั้น ซึ่งแนวโน้มนี้ จะมีผลกระทบค่อนข้างมากต่อกลุ่มประเทศในอาเซียน เพราะส่วนใหญ่เป็นเศรษฐกิจที่มีการพึ่งพาการค้าโลกในสัดส่วนสูง เพื่อสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หากการค้าโลกมีความเสี่ยงที่ชะลอตัวลง อาจทำให้แรงกดดันต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวได้
โดยเฉพาะนโยบายของทรัมป์ที่จะขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 60% ต่อสินค้าจากจีน และ 10% กับทุกสินค้าที่มาจากประเทศอื่นทั่วโลก อาจเร่งให้การค้าโลกหดตัวเร็วกว่าที่คาด และจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในด้านการค้า และการลงทุนจากต่างประเทศ
เรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ที่มา : KKP Research
ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #การค้าโลก #เลือกตั้งสหรัฐ #เลือกตั้ง