LINE ชวนเพิ่มชีวิตออฟไลน์ สร้างสมดุลให้ชีวิตวิถีใหม่ สอดรับกับ Social Detoxification

LINE ชวนเพิ่มชีวิตออฟไลน์ สร้างสมดุลให้ชีวิตวิถีใหม่ สอดรับกับ Social Detoxification

 

จากสถิติ Digital 2022 Global Overview จาก We Are Social เมื่อเดือนมกราคม 2565 พบว่า การใช้งานบนโลกออนไลน์ของคนไทยติดอันดับ 7 ของโลก และผลสำรวจโดย Statista Research Department ที่เผยแพร่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 คนไทยมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตนับรวมทุกอุปกรณ์เฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 41% ของชีวิตในแต่ละวัน โดยเป็นการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ยสูงถึง 5.28 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันมากสุดจะเป็นวัยเรียนและวัยทำงาน อันเป็นผลมาจากนโยบายการเรียนออนไลน์ และ Work Form Home ทำให้ทุกคนต้องปรับพฤติกรรมมาใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มากขึ้น ทั้งการติดต่อสื่อสาร การเรียน การทำงาน และไลฟ์สไตล์ประจำวัน

 

การพัฒนาเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ช่วยให้การสื่อสารบนโลกออนไลน์กลายเป็นเรื่องง่าย ทั้งมีความสะดวกและรวดเร็ว ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์อยู่ตลอดเวลา จนไม่มีเส้นแบ่งในการพูดคุยเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว แม้ในวันหยุดหรือหลังเวลาเลิกงานก็ยังถูกรบกวนจากข้อความทวงงาน หรือการพูดคุยเรื่องงาน รวมถึงการส่งต่อ Fake News ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ผลเสียตั้งแต่สุขภาพกายจนถึงสุขภาพใจ อาทิ ความเครียด ความหวาดระแวง เป็นต้น จนเป็นเทรนด์ที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงผลเสียจากความไม่สมดุลในการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับวิธีการทำ Social Detox

น.ส.ณิชารัศมิ์ อาชญาสิทธิวัตร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร LINE ประเทศไทย เปิดเผยว่า LINE ประเทศไทย ก้าวสู่ปีที่ 11 ด้วยจำนวนผู้ใช้งานในประเทศไทยกว่า 50 ล้านคน โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พบว่าการใช้งานของ LINE เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้ง LINE Group VDO Call เพิ่มขึ้น 99% LINE Meeting เพิ่มขึ้น 191% และการใช้งาน LINE OpenChat เพิ่มขึ้น 106% ที่มีกรุ๊ปใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการเรียน การเงิน คอมมูนิตี้ต่าง ๆ รวมถึงได้กลายเป็นศูนย์ให้ความช่วยหลือในช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ทั้งของโรงพยาบาล มูลนิธิและอาสาสมัครต่าง ๆ ซึ่งทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารแชทได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ LINE กลายเป็นแอปพลิเคชันหลักในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทย

 

 

ดังนั้น เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนมาเพิ่มเวลาชีวิตออฟไลน์กันวันละ 1 ชั่วโมง ให้เป็นเวลาที่ทำให้รู้สึกว่าเราได้พัก LINE ประเทศไทย ได้จัดทำแคมเปญ “THE OFFLINE HOUR” ภายใต้แนวคิด “LINE Digital Well-being” ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่บนโลกดิจิทัลและร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตดิจิทัลที่ยั่งยืน (Empowering Pleasant Digital Environment) โดย OFFLINE HOUR #คิดก่อนส่งลังเลก่อนLINE จะชวนทุกคนมาเพิ่มชีวิต “ออฟไลน์” วันละ 1 ชั่วโมง เพื่อสร้างสมดุลให้ชีวิตวิถีใหม่ สอดรับกับ Social Detoxification เทรนด์สุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ด้วยการเว้นระยะจัดการชีวิตบนโลกออนไลน์ ทั้งการติดต่อสื่อสารกับผู้คนตลอดเวลา การรับรู้ความคิดเห็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ดีและการรับข้อมูลต่าง ๆ มากเกินไป

พร้อมทั้งจัดทำภาพยนตร์โฆษณา “Push To Think Button” บอกเล่าเรื่องราวชวนทุกคน ตะหนักถึงความเห็นอกเห็นใจและความเคารพซึ่งกันและกันบนโลกดิจิทัลในหลากหลายแง่มุม เพื่อร่วมทำให้เกิด Digital Empathy เนื่องจากความรวดเร็วบนโลกออนไลน์อาจทำให้ทุกคนลืมความเห็นอกเห็นใจกัน ต้องอาศัยความเคารพซึ่งกันและกัน จึงต้องการให้ผู้ใช้เข้าใจและรับรู้ถึงการสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งช่วงเวลาที่เหมาะสม ถ้อยคำที่ชวนตีความผิดความหมาย ตะหนักเรื่องการเผยแพร่ข่าวปลอมและการเกิด Social Bully เป็นต้น

“เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยียังจะมีการพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ LINE ประเทศไทย จึงให้ความสำคัญและมีเป้าหมายในการสร้าง Digital well-being คุณภาพชีวิตออนไลน์ที่ดีในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การรักษาสมดุลในการใช้ชีวิตโลกออนไลน์และออฟไลน์ ไปจนถึงการเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งแคมเปญ THE OFFLINE HOUR นับเป็นก้าวแรกในการเดินไปสู่เป้าหมาย พร้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ใส่ใจในการสร้างสมดุลการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ รวมทั้งใส่ใจผู้ใช้แพลตฟอร์มว่ามีความสุขหรือไม่ จึงต้องการรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหานี้และร่วมกันสร้างสุขภาพจิตที่ดี อันจะทำให้เกิด life posibility ที่ดีในสังคมไทย ตอกย้ำการพัฒนาแพลตฟอร์มแบบ Humanized Technology ของ LINE ที่เข้าใจพฤติกรรมและความรู้สึกของผู้ใช้อย่างแท้จริง”

 

LINE ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าแคมเปญ “THE OFFLINE HOUR” จะเป็นการร่วมตอกย้ำแนวคิดการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างประโยชน์และสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้งาน พร้อมทำให้ผู้ใช้งานได้มีสร้างชีวิตที่สมดุลมากขึ้นในยุค New Normal ซึ่งนับจากนี้ไป LINE จะเดินหน้าสร้าง Digital well-being อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในประเทศไทยและมีแผนจัดทำกิจกรรมในรูปแบบนี้ทุกไตรมาส