รุ่นสาม “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” คิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความยั่งยืน

รุ่นสาม “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” คิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความยั่งยืน

ดำเนินธุรกิจโลว์โฟร์ไฟส์มากว่า 48 ปี “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” โดยบริษัท น้ำมันบริโภคไทย จำกัด ถือโอกาสแนะนำตัวกับสื่อถึงทิศทางใหม่ ตลอดจนประกาศแผนธุรกิจในยุคคิดใหม่ ทำใหม่ ให้เป็นองค์กรนวัตกรรม เน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม High Value Added Products and Services (HVA)ในตัวสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ออกจากกับดักของการเป็นสินค้าพื้นฐานทั่วไป (Commodity) รับมือกับการแข่งขันในโลกอนาคต

เป็นจุดที่ต้องติดตามอย่างยิ่งสำหรับ “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” โดยบริษัท น้ำมันบริโภคไทย จำกัด ถือโอกาสแนะนำตัวกับสื่อถึงทิศทางใหม่ ตลอดจนประกาศแผนธุรกิจในยุคคิดใหม่ ทำใหม่ ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถึงแผนธุรกิจปี 2568-2570 โดยมีผู้บริหารรุ่นที่สาม คือ ประทีป สันติวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมกับทีมผู้บริหารมืออาชีพ

“4 ความเชื่อที่ทำให้ธุรกิจของเราเดินทางมาถึงวันนี้ได้คือ
1. Trust
2. Knowledge
3. Finance
4. Change
แต่จากวันนี้จะมีอีก 2 คำที่ผมจะพาองค์กรเดินหน้าไปนั่นก็คือ Networking และ ESG นั่นเพราะว่า เมื่อรวม 4 มาตรฐานความเชื่อเดิมที่รุ่นก่อตั้งได้บุกเบิกธุรกิจเรามา บวกกับคำว่า Networking และ ESG ผมมองว่าจะทำให้เส้นทางเดินใหม่ของเราจะยิ่งมีความน่าสนใจ” ประทีป สันติวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เล่าถึงแนวทางธุรกิจของกลุ่มฯ หลังจากนี้ให้ฟัง ซึ่งแน่นอนว่า จะมี “ธุรกิจใหม่” นอกเหนือจากธุรกิจที่มีอยู่เดิม

แน่นอนว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” เตรียมการณ์ไว้นั่นคือ การรื้อกรอบคิดใหม่ มุมมองใหม่ ๆ และวิธีการทำงานใหม่ ๆ เข้าให้เกิดขึ้นกับ “คน” และ “องค์กร” ให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจปี 2568-2570 โดยแผนระยะสั้นและกลาง คือ ต้องโฟกัสและพัฒนาสินค้าและบริการในเครือ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของตลาดและผู้บริโภคตลอดเวลา นั่นเพราะว่า หลังผ่านพ้นวิกฤต Covid-19 การเติบโตของตลาดน้ำมันรำข้าว ได้พาผู้เล่นใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด จากเดิมที่มีเพียง 4 แบรนด์ จนปัจจุบันมีผู้เล่นรวมกันมากถึง 18 แบรนด์ จนส่งผลให้ตลาดน้ำมันรำข้าวมูลค่า 400 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มเป็น 1,100 ล้านบาทในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบกับภาพรวมตลาดน้ำมันพืชปีนี้ ถือว่าตลาดแทบไม่มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากนัก จากมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท โดย ประทีป ให้ข้อมูลว่า แม้สภาพตลาดการแข่งขันแทบไม่มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากนัก แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถหยุดแผนการตลาดได้ ดังนั้นขึ้นอยู่กับ Policy ของแต่ละแบรนด์ว่าจะโฟกัสอะไร สำหรับ “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” ตามแผนธุรกิจเรามีการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อให้กลุ่มแข็งแกร่งขึ้น และสร้างการเติบโตทางธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 3 ส่วน ประกอบด้วย

  1. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของคู่ค้า และรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
  2. การลงทุนทางด้าน R&D และการวิจัยตลาดเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่สำหรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ และ
  3. การให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางการตลาดที่ต้องเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง รวมถึงให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

“ทั้ง 3 ส่วนมีความเชื่อมโยงกันเพื่อพาให้ “กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน” ประทีป ระบุ พร้อมเสริมว่า เราพยายามไม่หยุดนิ่ง จึงต้องมีสินค้าและบริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค จากเดิมที่เรามีผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวคิง โอรีซานอล 8,000 ppm, น้ำมันรำข้าว King โอรีซานอล 12,000 ppm และน้ำมันรำข้าวไรซ์ลี่ โอรีซานอล 15,000 ppm รวมถึงมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ได้แก่ ชอร์ตเทนนิ่งน้ำมันรำข้าวคิง ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวไรซ์ลี่ และผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องดื่มรำข้าวไรซ์ลี่ และไฮไลต์สำคัญคือ กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม High Value Added Products and Services (HVA) อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและยา ซึ่งมูลค่าในตลาดมีสูงมาก โดยเรามองทั้งการซัพพลายวัตถุดิบและการคิดค้นสินค้าใหม่ในอนาคต

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการทำการตลาดและให้ความรู้กับผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการสื่อสารการตลาดบนรากฐานของความจริง คุณประโยชน์ต่าง ๆ ของน้ำมันรำข้าวที่เรานำเสนอ ล้วนมีงานวิจัยที่เชื่อถือได้รองรับทั้งสิ้น โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราลงทุนในเรื่องของการสื่อสารการตลาดไปมากกว่า 270 ล้านบาท และมีการปรับกลยุทธ์การสื่อสารอยู่ตลอดเวลา ให้เข้ากับทุกยุคสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เน้นการสื่อสารที่ชัดเจน ตรงประเด็น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความตั้งใจนี้ จึงทำให้เราสามารถอยู่ในตลาดของน้ำมันรำข้าว และเป็นอันดับ 1 มาได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

“ตลอด 47 ปีกับความสำเร็จของกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เป็นบทพิสูจน์ความตั้งใจของเราที่สามารถนำคุณค่าของรำข้าวไทยมาสร้างสรรค์และพัฒนา จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และเราเชื่อว่าความทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของเรา จะเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเติบโตอย่างยั่งยืนและมุ่งสู่ยอดขาย 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573” ประทีป กล่าวทิ้งท้าย

####################################################

ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus