Secret of Johnnie Walker

Diageo (ดิอาจิโอ) นอกจากจะเป็นกลุ่มบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ของโลก สินค้าในพอร์ตก็ยังเป็นแบรนด์ที่คนทั่วโลกรู้จักดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความประณีต ตลอดจนกระบวนการผลิตกว่าจะได้สินค้าชั้นเลิศออกมาให้ลิ้มรสกัน

หลังจากเปิดร้านขายของเล็ก ๆ ในเมืองคิลมาร์น็อค (Kilmarnock) ของสกอตแลนด์เมื่อปี ค.ศ. 1819 Johnnie Walker ผู้ก่อตั้ง “Diageo” คงไม่คิดว่าวิสกี้ของเขาจะกลายมาเป็นสินค้าระดับโลก และ ‘ผู้ชายก้าวเดิน’ ที่กำเนิดจากปลายปากกาของ ทอม บราวน์ (Tom Browne) เมื่อปี ค.ศ. 1908 จะกลายเป็นหนึ่งในตราสัญลักษณ์ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดในปัจจุบัน

Johnnie Walker
นักดื่มทั่วโลกเริ่มดื่มด่ำกับรสชาติของ สก็อตช์วิสกี้ ที่ขายดีที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 1820 หลังจากJohnnie Walker สูญเสียพ่อไป เขาขายฟาร์มของครอบครัวและหันมาเปิดกิจการร้านของชำในเมืองคิลมาร์น็อคเพื่อขายชาและเครื่องเทศที่นำเข้ามาจากประเทศโลกใหม่ ซึ่งหมายถึงทวีปอเมริกาและออสเตรเลียนั่นเอง

Walker มุ่งมั่นที่จะเฟ้นหาชาที่มีรสชาติและกลิ่นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เขาจึงได้ทดลองผสมชาออกมามากมายหลายเบลนด์ ซึ่งทักษะใหม่นี้เอื้อประโยชน์อย่างมากในอาชีพการผสมวิสกี้ของเขา

Johnnie Walker

เบลนด์วิสกี้ของเขารสชาติกลมกล่อมแต่หนักแน่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะที่ช่วงนั้นตามท้องตลาดมีแต่เหล้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และ Walker ก็ขายเบลนด์วิสกี้เอ็กซ์คลูซีฟนี้ให้เฉพาะลูกค้าที่ชอบพอ รวมไปถึงเจ้าของกิจการใหญ่ ๆ จนกลายเป็นวิสกี้หายากสำหรับลูกค้าคนพิเศษเท่านั้น ซึ่งไม่นานนักวิสกี้ชั้นดีนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่เพียงแค่มีจำหน่ายที่ร้านของชำในคิลมาร์น็อคเท่านั้น แต่ยังกระจายออกไปทั่วสก็อตแลนด์และอังกฤษ จนในที่สุดก็มีจำหน่ายทั่วทุกมุมโลก

ในปี 1920 ร้อยปีหลังจาก Walker เริ่มกิจการครอบครัว วิสกี้ของเขามีจำหน่ายมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก นับเป็นความสำเร็จที่ได้รับการสรุปรวมในหนังสือนำเที่ยว “Around the World” ตีพิมพ์เมื่อปี 1920 กับพาดหัวสั้น ๆ ว่า “เราล่องไปทุกแห่งที่เรือสามารถไปได้”

ด้วยความสำเร็จอย่างมากของแบรนด์ในระดับโลก บริษัทได้รับตราพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี 1934 ซึ่งเป็นเกียรติยศที่ Johnnie Walkerได้รับอย่างต่อเนื่องจากกษัตริย์อังกฤษ และในปี 1956 เป็นครั้งแรกที่Johnnie Walker red  Label ทำยอดขายได้ 1 ล้านลังทั่วโลก
ประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของJohnnie Walker และเข้ามาเป็นสินค้าชั้นนำในตลาดประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1924 และประเทศไทยยังเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของJohnnie Walker ในอาเซียน โดยมียอดขายมากกว่าครึ่งในแถบประเทศเอเชียแปซิฟิก

Johnnie Walker red Label

วิธีหาลูกค้าของJohnnie Walker

ทั่วโลก ให้การยอมรับว่า Johnnie Walker คือสุดยอดของความพยายามในการเบลนด์วิสกี้ และเพื่อให้ได้มาซึ่งรสชาติลุ่มลึกและซับซ้อน จึงมีการทดลองเป็นร้อย ๆ ครั้งตลอดเวลา โดยทีมเบลนดิ้งของJohnnie Walker ในสก็อตแลนด์ ที่มีผู้นำทีมคือ จิม เบเวอริดจ์ ผู้สืบทอดความรู้และความชำนาญด้านการผสมวิสกี้ของJohnnie Walker มายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

ทุกวันนี้เขายังเชิดชูความเชื่อของตระกูล  Walker ในศาสตร์และศิลป์ของการผสมวิสกี้ ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการค้นหารสชาติชั้นเลิศ โดยคัดเลือกวิสกี้จากทั่วสารทิศในสก็อตแลนด์ และผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างชำนาญ เพื่อให้ได้รสชาติของวิสกี้ Johnnie Walker อันเป็นเอกลักษณ์
เบเวอริดจ์ย้ำความมั่นใจว่ารสชาติวิสกี้ตามแบบฉบับของJohnnie Walker แต่ละเบลนด์ ยังคงความสมดุล ความมีพลัง และมิติของรสชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ดื่มทุกคนในทุก ๆ โอกาส

เบลนด์วิสกี้คลาสสิกเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงให้กับแบรนด์ ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา แต่ยังนำศิลปะเข้ามาร่วมด้วยมรดกทางศิลปะของศิลปินที่แสดงถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน และยังคงพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดังที่ปรากฏในผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์นี้

Johnnie Walker red  Label  Limited Edition และ Johnnie Walker black  Label  Limited Edition  ในรูปแบบกล่องลวดลายพิเศษ แสดงออกถึงความหลงใหลในศิลปะ เป็นการร่วมมือกันสร้างงานศิลปะระหว่างมาสเตอร์เบลนเดอร์ จิม เบเวอริดจ์ และ พาเวล โนลเบิร์ท นักวาดภาพประกอบระดับโลกชาวโปแลนด์ ที่เคยสร้างสรรค์งานออกแบบให้กับแบรนด์ระดับโลกอย่างกูเกิล แอปเปิล อะโดบี ไนกี้ โซนี่ โพลารอยด์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และไมโครซอฟท์มาแล้ว

2ef81c6a5ca9820d64e25c1b9d86e5e0

ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญนำเสนอเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความซับซ้อนของรสชาติและสีสันของเซ็ตลิมิเต็ด เอดิชัน ผ่านงานศิลปะ ภาพวาด และดีไซน์บนกล่องวิสกี้ทั้งสอง แสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึก มีพลัง และรสชาติเครื่องเทศของ red  Label รวมไปถึงความหนักแน่นและลุ่มลึกของ black  Label

Johnnie Walker ยังได้ทำการค้นคว้ารสชาติที่เป็นอัตลักษณ์ จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เบลนเดอร์ส แบทช์ เรด ราย ฟินิช (Johnnie Walker Blender’s Batch Red Rye Finish) นับเป็นซีรีส์แรกของการทดลองที่ Johnnie Walker เปิดโอกาสให้ผู้บริโภค ได้สัมผัสรสชาติของเบลนด์ใหม่ ๆ ทีมเบลนเดอร์ใช้ตัวอย่างวิสกี้ 203 ชนิด และ 50 วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์อันสมบูรณ์แบบนี้ เบลนด์ที่ได้คือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของรสกลิ่นกรุ่นควันแบบ Johnnie Walker และความหวานติดกลิ่นวานิลลาแบบวิสกี้อเมริกัน

Johnnie Walker Blender’s Batch Red Rye Finish

และด้วยแรงบันดาลใจจากนักสำรวจขั้วโลกที่เดินทางไปยังสุดขอบโลกเพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นที่สุด รังสรรค์มาเป็น จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล รีเสิร์ฟ ลิมิเต็ด เอดิชัน (Johnnie Walker Gold Label Reserve Limited Edition) บ่งบอกถึงเรื่องราวของ “เพอร์เฟ็กต์ เสิร์ฟ” ได้งดงามที่สุด ด้วยการเสิร์ฟแบบแช่เย็นบนน้ำแข็ง

อีกลิมิเต็ด เอดิชัน คือ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล เดอะ คาร์มัน ไลน์ 2016 (Johnnie Walker Blue Label The Karman Line 2016) กับรสชาติลุ่มลึกสุดพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเส้นคาร์มัน เส้นแบ่งระหว่างโลกและอวกาศ เป็นชั้นบรรยากาศที่กระจายคลื่นแสงสีฟ้า จนเกิดเป็นเส้นสว่างชัดเจนกว่าคลื่นแสงอื่น ๆ ทำให้เห็นเป็นเส้นขอบฟ้ามีสีฟ้าสุกสว่าง

Johnnie Walker Blue Label The Karman Line 2016

เพราะทุกการใส่ใจในรายละเอียด ทำให้ความนิยมของลูกค้าต่อแบรนด์นี้เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มชนชั้นกลางทั่วโลก สำหรับไทย เคยติดอันดับยอดขายดีเด่นในปี 2012 กับอันดับ 3 จาก 180 ตลาดที่ใหญ่ที่สุดรองจากสหรัฐอเมริกาและบราซิล