หัวเว่ย แกว่งจากพิษสงครามการค้า

ปีที่ผ่านมาสำหรับหัวเว่ย นอกจากจะบอบช้ำ โดนกระแทกยับจากสงครามการค้า ยังโดนคู่แข่งตีกันในหลาย ๆ ธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงจากปีก่อนหน้า

“ปีที่ผ่านมาสำหรับหัวเว่ย โดนกระแทกยับจากสงครามการค้า

ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงจากปีก่อนหน้า”

พิษสงครามการค้าที่หัวเว่ย เทคโนโลยี โดนเล่นงานในปีที่ผ่านมา แม้จะสงบศึกชั่วคราว ซึ่งก็ต้องบอกว่า โดนมาหนัก

อย่างไรก็ตาม หัวเว่ยก็ผ่านปี 2562 มาได้ แต่ไม่ค่อยดีนัก โดยกำไรสุทธิลดลงเล้กน้อยเมื่อเทียบปีที่ผ่านมา แต่เมื่อมองถึงรายได้รวม หัวเว่ยยังคงทำหน้าที่ได้ดี คือมีรายได้ 3.68 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า

มร. อีริค สวี ประธานบริษัท หมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย

 

“ปี 2562 เป็นปีที่พิเศษสำหรับหัวเว่ย”

มร. อีริค สวี ประธานบริษัท หมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย ระบุว่า พร้อมเสริมว่า “หัวเว่ยแม้จะมีแรงกดดันมหาศาลจากภายนอก ทีมของเราก็ยังก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าของเรา เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า และจากพันธมิตรทั่วโลก ธุรกิจของเรายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

ทั้งนี้ ไฮไลต์สำคัญปีที่แล้ว กลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์ ถือเป็นพระเอกของเครือ มีรายได้ 2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนหน้า ด้วยยอดส่งมอบสมาร์ทโฟนทั้งสิ้น 240 ล้านเครื่องตลอดปี รวมทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แท็บเล็ต อุปกรณ์สวมใส่ และสมาร์ทสกรีนต่าง ๆ

อันดับ 2 คือ ธุรกิจโทรคมนาคม มีรายได้ 1.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อนหน้า ผ่านการติดตั้งเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ในกว่า 50 ประเทศ ช่วยให้ประชากรในถิ่นทุรกันดารกว่า 40 ล้านคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จากโทรศัพท์มือถือ

อันดับสุดท้ายคือ ธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ มีรายได้ 3.84 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อนหน้า โดยกลุ่มธุรกิจนี้เพื่อสนับสนุนการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัลของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปพร้อมกับการช่วยวางรากฐานสำหรับโลกดิจิทัล

“ในอนาคตข้างหน้า ปัจจัยภายนอกจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีก” มร. อีริค สวี ระบุ พร้อมชี้ว่า

“เราต้องพัฒนาความได้เปรียบของผลิตภัณฑ์และบริการของเราให้ล้ำไปข้างหน้า ส่งเสริมนวัตกรรมแบบเปิด และสร้างคุณค่าให้ลูกค้าและสังคมโดยรวมของเราให้มากยิ่งขึ้น

นี่เป็นเหตุผลเดียวที่เราจะฉวยโอกาสแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ อันเกิดขึ้นจากการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลและความเป็นอัจฉริยะของอุตสาหกรรมต่าง ๆ และรักษาการเติบโตอันแข็งแกร่งนี้ไว้ในระยะยาว”