สถานการณ์น้ำท่วมกระทบเศรษฐกิจไทยเท่าไหร่ จังหวัดไหนได้รับผลกระทบสูงสุด?

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในช่วงเดือนก.ย.2567 กระทบไปมากถึง 16,960 ครัวเรือน ซึ่งมีหลายปัจจัยทั้งเกิดจากสถานการณ์ฝนตกหนัก น้ำโขงขึ้น และน้ำป่าไหลหลาก ทำให้เกิดผลกระทบตามมาในแง่ของเศรษฐกิจ เพราะการที่เกิดน้ำท่วมนั้นจะทำให้พื้นที่ทำการเกษตรของไทยเกิดความเสียหายทั้งการบริโภคในประเทศ และการส่งออก โดยเฉพาะหากกระทบไปถึงพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว อ้อย

ล่าสุดมีการประเมินผลกระทบจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขยายวงกว้างไปยัง 33 จังหวัด ทั้งทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และประเมินมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 29,845 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.17% ของ GDP (ข้อมูล ณ 28 ก.ย. 67) ซึ่งภาพรวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรวมประมาณ 3 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่การเกษตร 1,166,992 ไร่ และพื้นที่อื่น ๆ 1,826,812 ไร่

ซึ่งจากการประเมิน พบว่า ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมถึง 24,553 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82.3% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคบริการ เสียหาย 5,121 ล้านบาท ส่วนภาคอุตสาหกรรมเสียหายราว 171 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายในภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เนื่องจากมีการเตรียมการรับมือกับสถานการณ์น้ำได้ดี

สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบและมูลค่าความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ เชียงราย มีมูลค่าความเสียหายรวม 6,412 ล้านบาท รองลงมาคือ พะเยา 3,292 ล้านบาท และสุโขทัย 3,042 ล้านบาท

นอกจากนี้ มวลน้ำที่ไหลผ่านเข้าสู่ภาคกลาง ประกอบกับแนวโน้มที่ฝนจะตกเพิ่มต่อเนื่องอีกระลอก ทำให้หลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะปริมาณฝนที่คาดว่าจะมีการตกหลังเขื่อนในช่วงเดือนต.ค. ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมเพิ่มเติมได้

สำหรับวิธีการรับมือคือรัฐบาลควรเร่งจัดทำแผนเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้าที่ชัดเจน ก็จะช่วยลดผลกระทบ และความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และเศรษฐกิจได้มาก โดยในช่วงที่ผ่านมามาตรการเยียวยามีทั้งเงินเยียวยา และ Soft loan ขณะที่การแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างจะต้องทำการศึกษาปัญหาอุปสรรคด้านการบริหารจัดการน้ำในส่วนภูมิภาคให้ดี

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ที่มา : หอการค้าไทย ,IQ