5 ทศวรรษแห่งความล้ำสมัย กับ BMW หนึ่งในแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

เป็นระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษ ที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก และได้กำหนดวิสัยทัศน์ความยั่งยืน ผ่านการดำเนินธุรกิจ ผสานกับความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ขณะที่โรงงานผลิตรถยนต์ BMW จะต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงมากถึง 80% นอกจากนี้ยังพร้อมเดินหน้าขยายการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าผ่านเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ได้ 25 รุ่น ภายในปี 2023

โดย คุณโอลิเวอร์ ซิปเซ ประธานกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารของ BMW AG กล่าว ว่า “เราไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ยั่งยืน แต่เราสร้าง BMW ให้ดำรงไว้อย่างยั่งยืน”

การผลิตที่มองการณ์ไกล
ภายใต้ปรัชญาความยั่งยืน ทำให้เราต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมและเรื่องราวของแบรนด์ที่แฝงอยู่ตลอด 5 ทศวรรษของแบรนด์ ๆ นี้ ซึ่ง ณ อาคารสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู ณ เมืองมิวนิก แฝงนัยยะด้านความคิดและจิตวิญญาณความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในทุกยุค

นอกจากนี้ ความใส่ใจในรายละเอียดการออกแบบและการคำนึงถึงสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีของพนักงาน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จของบริษัทซึ่งช่วยสร้างอัตลักษณ์ที่เข้มแข็งให้กับองค์กร

ในขณะเดียวกัน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์สู่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล โดยในปี ค.ศ. 2017 อาคารสำนักงานที่มีรูปทรงคล้ายกระบอกสี่สูบแห่งนี้ ได้ถูกเปลี่ยนโฉมเป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้า เพื่อสะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และยุคสมัยของ “อนาคตแห่งการขับเคลื่อน” ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

อาคารสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี แม้จะเป็นอาคารสุดคลาสสิกที่ก่อสร้างมานานกว่า 50 ปี แต่ตัวอาคารยังคงทันสมัย โดดเด่นตระการตาประดับทิวทัศน์ของเมืองมิวนิก มาอย่างยาวนาน อาคารนี้จึงสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรของบีเอ็มดับเบิลยูในการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งแนวคิดดังกล่าวยังคงถ่ายทอดอยู่ในวิสัยทัศน์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และแฝงอยู่ในดีเอ็นเอของพนักงานทุกคนจวบจนถึงทุกวันนี้

แนวคิดการก่อสร้างแห่งอนาคต
อาคารสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู เรียกว่าเป็นไอคอนผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมแห่งยุคของเมืองมิวนิก โดยก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปีนั้น ออกแบบโดย คาร์ล ชวันเซอร์ (Karl Schwanzer) สถาปนิกชาวออสเตรียชื่อดัง ซึ่งเข้ามาพลิกโฉมการออกแบบสถาปัตยกรรมสำนักงานสมัยใหม่ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ด้วยการผสมผสานแนวคิดเชิงพื้นที่และนวัตกรรม เข้ากับการออกแบบอาคารที่โดดเด่น สะท้อนปรัชญาที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปยึดถือ อันได้แก่ การเปิดรับต่อสิ่งใหม่ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้คน สันติภาพ ความยั่งยืน และความหลากหลายทางวัฒนธรรม

การออกแบบที่เน้นความเป็นเลิศในทุกยุคสมัย
ท้ายที่สุดแล้ว แนวคิดที่ได้รับการคัดเลือก คือผลงานการออกแบบของ คาร์ล ชวันเซอร์ ซึ่งใช้โครงสร้างแบบแขวน กับตัวอาคารที่มีความสูงเกือบ 100 เมตร อาคารหลักประกอบด้วยทรงกระบอกแนวตั้ง 4 มุมเรียงติดกัน รูปลักษณ์ภายนอกมีลักษณะโมเดิร์น ร่วมสมัย แฝงไปด้วยความแปลกใหม่ โดยเริ่มก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1970 ด้วยช่างก่อสร้างกว่า 500 คน พร้อมด้วยสถาปนิก วิศวกร และช่างเขียนแบบ อีกเป็นจำนวน 200 คนจาก 12 ประเทศ จนอาคารนี้แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1972 สองปีนับจากวันเริ่มต้นก่อสร้าง และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1973

50 ปีแห่งเทคนิคการก่อสร้างแบบแขวน (Suspended Construction)
ความน่าทึ่งของอาคารนี้คือ การที่รูปทรงกระบอกเหล่านี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐาน แต่แขวนอยู่บนแกนกลางของตัวอาคาร โดยก่อสร้าง “จากบนลงล่าง” ซึ่งเป็นวิธีที่ล้ำสมัยเป็นอย่างยิ่งในเวลานั้น พื้นอิสระของแต่ละชั้นถูกประกอบจากด้านล่างและยกขึ้นไปต่อเติมเป็นอาคารด้วยระบบไฮดรอลิก และประกอบแยกเป็นส่วน ๆ ขึ้นเป็นตัวอาคาร

โดยอาคารสูง 99.50 เมตรนี้ มีทั้งหมด 22 ชั้น แผนผังสำนักงานรูปใบโคลเวอร์มีพื้นที่สำนักงานแบ่งเป็นสี่ส่วน แยกไปในแต่ละวงกลม สอดคล้องกับรูปแบบการทำงานในสำนักงานสมัยใหม่ซึ่งต้องการความยืดหยุ่นในการจัดวางพื้นที่

สถาปัตยกรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเท่าเทียมของพนักงาน
ปัจจุบัน พนักงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประมาณ 1,500 คน ยังคงทำงานในอาคารสำนักงานใหญ่แบบเปิดโล่งแห่งนี้ ทางเดินสองทางตัดสู่แกนกลางของตึกทำหน้าที่เชื่อมต่อพื้นที่แต่ละส่วนเข้าด้วยกัน โดยระยะทางสั้น ๆ ระหว่างโต๊ะทำงาน และแต่ละแผนกนี้ช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบและง่ายต่อการติดต่อประสานงานระหว่างแผนก การออกแบบสถาปัตยกรรมที่เชื่อมต่อถึงกันในลักษณะนี้จึงช่วยส่งเสริมความลื่นไหลในการทำงานร่วมกัน และช่วยลดลำดับชั้นระหว่างพนักงานอีกด้วย

เดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของสถาปัตยกรรมระดับไอคอนของโลก อาคารสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยูถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีการแสดงที่มีความสูงกว่า 100 เมตร ของคณะ Bandaloop จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นักเต้นแนวดิ่ง 12 ชีวิตต้องทำการแสดงด้วยดีไซน์ท่าเต้นที่ท้าทายแรงโน้มถ่วง ซึ่งสะท้อนถึงโมเมนตัมของหัวใจที่ขับเคลื่อนเราไปสู่โลกที่น่าอยู่เพื่อคนรุ่นหลัง เช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถอยู่ร่วมกับโลกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

เขียนและเรียบเรียง : วิทยา กิจชาญไพบูลย์

ที่มา : BMW

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #BMW