BKI

ถอดกลยุทธ์ ‘กรุงเทพประกันภัย’ กับกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ปี 2566 นับว่าเป็นปีที่น่าสนใจสำหรับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ที่สามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่น หลังได้รับผลกระทบจากการระบาด Covid-19 จนสามารถสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ถึง 29,915.7  ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 12.1 โดยบริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,043.8 ล้านบาท

ปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้กรุงเทพประกันภัยสามารถพลิกฟื้นธุรกิจจากผลกระทบการระบาด Covid-19 จนกลับมามีผลกำไรสุทธิสูงสุดขององค์กรได้นั้น ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เล่าให้ฟังถึง Key Success Factors ว่า “เราปลูกฝัง Mindset แก่บุคลากรให้เรียนรู้จากวิกฤต เพื่อให้เกิดการพัฒนาและปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างจิตสำนึกความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถนำพาองค์กรกลับไปสู่จุดที่แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งกว่าเดิมในทุกมิติ

แน่นอนว่า ไฮไลต์ของเราคือการมีเบี้ยประกันภัยรับรวมถึง 29,915.7 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 12.1 และบริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,043.8 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 12,478.4 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor 17,437.3 ล้านบาท จากกลยุทธ์ที่แตกต่างและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับนวัตกรรมการบริการให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

ในด้านสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ “ให้มากกว่า” เเละความคุ้มครอง “พิเศษมากขึ้น” พร้อมขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบ ปรับกระบวนการคิดและการออกแบบความคุ้มครองให้สอดคล้องกับบริบทสังคมยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลา

โดยบริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภค ผ่านการมอบความคุ้มครองที่เพิ่มมากขึ้น และคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสมกับสภาวะค่าครองชีพปัจจุบัน ด้วยประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ซึ่งถือเป็นเจ้าเเรกในตลาดประกันวินาศภัยไทยที่เพิ่มความคุ้มครองความเสียหายต่อกระจกบังลมรถยนต์ โดยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 7,300 บาท

จากการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มาพร้อมกับโอกาสการขยายสู่ตลาดใหม่ บริษัทฯ ได้เปิดรับประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ซ่อมห้างสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีและมีจำนวนผู้ทำประกันภัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2566 มีเบี้ยประกันภัยรวมที่ 273 ล้านบาท และบริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการและรูปแบบความเสี่ยงภัย โดยได้เตรียมความพร้อมด้านบริการต่าง ๆ  ทั้งด้านสินไหมทดแทนยานยนต์ การสนับสนุนข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าแก่ฝ่ายรับประกันภัย รวมถึงจัดอบรมให้ความรู้แก่อู่ในสัญญาเพื่อเสริมศักยภาพในการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเชี่ยวชาญเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า

นอกจากนี้ กรุงเทพประกันภัยยังเพิ่มศักยภาพการบริการ เพื่อตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ทุกที่ ทุกเวลาให้แก่ลูกค้าและคู่ค้า เพื่อส่งมอบบริการที่มีคุณภาพและได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาการทำงานด้วยเทคโนโลยี ต่อยอดการเป็น Data-Driven Organization โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการประกันภัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด

พร้อมกันนั้น เราได้ตั้งเป้าหมายการเป็นบริษัทประกันภัยที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน สร้างความสมดุลด้วยการมีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม ดูแลใส่ใจครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านการรับประกันภัย และงานสินไหมทดแทนที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

หากถามว่า ยากไหม ก็ต้องยอมรับว่า เป็นความท้าทายมากกว่า ซึ่งเราได้มีการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์อย่างรอบด้าน พัฒนาการทำงานอย่างมีคุณภาพ พร้อมดำเนินธุรกิจเคียงคู่กับคุณธรรม ในปี 2566 จึงถือเป็นช่วงเวลาแห่ง Year of Resilience ที่เราสามารถสะท้อนกลับไปสู่เป้าหมายที่ไกลกว่าเดิมได้สำเร็จ” ดร.อภิสิทธิ์ ระบุ

พร้อมทิ้งท้ายว่า ปี 2566 นั้นเป็นปีแห่งการพลิกฟื้นบริษัทฯ และในปี 2567 นี้ เราได้วางกลยุทธ์ภายใต้คอนเซปต์ Year of Transformation and Embracing Regenerative Approach towards Sustainability เป็นปีที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า คู่ค้า ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ให้ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของเรา ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการที่เหนือความคาดหวัง สามารถตอบโจทย์ทุก Pain Point ของลูกค้าและคู่ค้า ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยแล้ว ยังช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน