ถอดบทเรียน Apple ไม่แถมอุปกรณ์ชาร์จ iPhone สู่กฎหมาย EU บังคับใช้ USB-C สมาร์ทโฟน

หลาย ๆ คนคงได้เห็นข่าวผ่านตากันมาบ้างแล้ว สำหรับการออกกฎหมายใหม่ของ EU เกี่ยวกับการบังคับใช้สายชาร์จ USB Type-C โดยภายใต้กฎหมายนี้ ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถใช้อุปกรณ์ชาร์จร่วมกันได้สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาขนาดเล็กและขนาดกลาง ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หูฟัง กล้องดิจิทัล หรือแม้แต่เกมคอนโซล และลำโพงแบบพกพา โดยกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ใน 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งคาดว่าจะมีผลภายในปี 2024

จากกฎหมายนี้ ทาง EU คาดว่าจะนำไปสู่การใช้ที่ชาร์จซ้ำมากขึ้นและจะช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินได้ถึง 250 ล้านยูโรต่อปี สำหรับการซื้ออุปกรณ์ชาร์จที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ คาดว่าจะสามารถลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 11,000 ตันต่อปี อีกด้วย

ซึ่งหากกฎหมายนี้มีผลบังคับออกมา หนึ่งในกลุ่มที่น่าจะดีใจและได้รับประโยชน์โดยตรง คงหนีไม่พ้นสาวก Apple ที่ต่างก็ทราบกันดีว่าในการซื้อ iPhone นั้น นอกจากจะไม่ได้รับตัวอะแดปเตอร์ชาร์จมือถือแล้ว ในการใช้งาน iPhone ก็จำเป็นจะต้องใช้สายชาร์จเฉพาะของ Apple ซึ่งไม่สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ชิ้นอื่นที่มีได้

ทั้งนี้ Apple ได้ประกาศไม่แถมอะแดปเตอร์ รวมถึงหูฟัง ตั้งแต่การเปิดตัว iPhone 12 ในปี 2020 ด้วยเหตุผลด้านการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดย Apple อ้างว่าการไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟัง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประจำปีได้สองล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ 500,000 คันออกจากถนน

ขณะที่ฝั่งผู้บริโภคกลับไม่คิดเช่นนั้น ซึ่งภายหลังการประกาศดังกล่าว ส่งผลให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากในแง่ของการเอาเปรียบผู้บริโภค

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเพียงแค่ฝั่งลูกค้าของ Apple เท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับทางแบรนด์เองด้วย โดย Apple เคยโดนฟ้องร้องในประเด็นนี้มาแล้ว ทั้งในส่วนของฝั่งผู้บริโภครายเล็ก อย่างกรณีลูกค้าในบราซิลรายหนึ่งที่ฟ้องร้อง Apple กรณีไม่แถมอุปกรณ์ชาร์จ iPhone มาให้ โดยในการฟ้องร้องครั้งนั้น ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งให้ Apple จ่ายเงิน 5,000 เรอัลบราซิล (ราว 34,000 บาท) โดยผู้พิพากษามองว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการขายสินค้าแบบเอาเปรียบผู้บริโภค เสมือนเป็นการบีบให้ลูกค้าซื้ออุปกรณ์ชาร์จเพิ่มไปในตัว

รวมไปถึงกรณีที่นักศึกษาจีน 5 ราย ยื่นฟ้อง Apple ในประเด็นเดียวกัน โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 หยวน แม้จะยังไม่มีคำตัดสินออกมา แต่ก็คาดว่า Apple อาจจะพ่ายแพ้อีกครั้ง เนื่องจาก Apple ไม่เพียงแค่โดนฟ้องร้องจากฝั่งผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังมีกรณีที่หน่วยงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศบราซิลสั่งปรับ Apple 2 ล้านดอลลาร์ (ราว 61.7 ล้านบาท) ฐานไม่แถมอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้ในกล่องผลิตภัณฑ์ iPhone 12 ทุกรุ่นที่จำหน่าย

ซึ่งในทุกครั้งที่ Apple โดนฟ้องร้องนั้น ทางแบรนด์มักจะใช้เหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมมาต่อสู้เสมอ ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน การที่ทาง Apple ไม่แถมอุปกรณ์ชาร์จและหูฟังมาให้ หลาย ๆ คนก็มองว่าเป็นเรื่องของธุรกิจ อ้างอิงการวิเคราะห์จาก CFRA Research ที่ได้ออกมาเปิดเผยว่า การที่ Apple นำเทคโนโลยี 5G เสริมเข้ามา ส่งผลให้ต้นทุนของ iPhone 12 เพิ่มสูงขึ้นกว่า 30-35% ดังนั้น Apple จึงต้องมองหาช่องทางในการลดต้นทุนบางส่วน ซึ่งก็คือการไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังเหมือนอย่างเคย นอกจากนี้ ยังถือเป็นการสร้างรายได้เพิ่มจากการขายอุปกรณ์ชาร์จ และผลิตภัณฑ์ AirPods ไปในตัวอีกด้วย โดย Daily Mail เผยว่า Apple สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการขายอุปกรณ์เสริม และลดค่าขนส่งจากขนาดกล่องสินค้าที่บางลง รวมกว่า 5,000 ล้านปอนด์

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่ทาง EU จะบังคับใช้ USB Type-C ดูเหมือนทาง Apple เองจะมีการเตรียมตัวรับมือไว้แล้ว โดย Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ของ Apple ได้ออกมาเปิดเผยว่า Apple กำลังเตรียมที่จะเปลี่ยนพอร์ต Lightning ที่เป็นกรรมสิทธิ์บน iPhone เป็นแบบ USB-C เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในระดับสากล ภายในปี 2023 ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งของทาง Apple ที่นอกจากจะต้องผลิตอุปกรณ์ให้เหมือนกับเจ้าอื่นแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ในส่วนของสายชาร์จ ที่ลูกค้าไม่จำเป็นจะต้องซื้อจากทาง Apple โดยตรงอีกต่อไป

 

หัวข้อ : Global Analytic

ที่มา : Global Times, The Verge, DailyMail, News European Parliament

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

 

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #Apple #iPhone #EU