Amway เดินหน้าปรับ Business look สานต่อกลยุทธิ์AmwayNEXT

ในยุคที่อีคอมเมิร์ชรุ่งเรืองถึงขีดสุดบวกกับแบรนด์ต่างๆหันมาทำการตลาด โปรโมตสินค้า รีวิวสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โซเชียลมีเดียกันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง และต้องยอมรับว่า เป็นวิธีการเข้าถึงผู้บริโภคและโชวย์ศักยภาพของผลิตภัณฑ์และสินค้าให้กับผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง และยิ่งมีบล็อกเกอร์ หรือเน็ตไอดอลเป็นผู้ทดลองหรือรีวิวสินค้า ก็ยิ่งทำให้สินค้านั้นดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

ขณะที่การตลาดที่เน้นการสาธิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าโดยตรง อย่างธุรกิจขายตรงที่ดูเหมือนว่าช่วง2-3 ปีที่ผ่านมาจะแผ่วๆลงไป ส่วนหนึ่งจะมาจากการรุกตลาดของธุรกิจ อีคอมเมิร์ซหรือไม่ และทิศทางของธุรกิขขายตรงในยุคศตวรรษที่ 20 จะเป็นอย่างไรต่อไป และแน่นอนว่าไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่า เบอร์1ธุรกิจขายตรงเมืองไทย อย่างAmway

ซึ่งทางดั๊ก เดอโวส ประธานบริษัทแอมเวย์ทั่วโลก ก็ออกมาตอกย้ำว่าธุรกิจแอมเวย์ทั่วโลกยังสดใส โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดถึง 46% ของแอมเวย์ทั่วโลก ประกอบกับเทรนด์ของความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจกำลังมาแรง จึงช่วยสนับสนุนแนวคิดธุรกิจแอมเวย์ที่เข้ากับแนวโน้มการประกอบอาชีพของผู้คน โดยกลยุทธ์แอมเวย์เน็กซ์ (AmwayNEXT) จะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จในอนาคต

ส่วน Amway ประเทศไทยนั้น นับว่ามีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง การลงทุนใหม่ๆ และนวัตกรรมที่สร้างโอกาสและประสบการณ์ให้แก่ผู้บริโภค

“แอมเวย์ในฐานะธุรกิจเครือข่ายอันดับหนึ่งของโลกและของไทย เป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและมีรากฐานที่พร้อมเติบโตในระยะยาว โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดถึง 46% ของยอดขายแอมเวย์ทั่วโลก อีกทั้งปัจจุบันเทรนด์ความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับแนวคิดของธุรกิจแอมเวย์นั้น มีแนวโน้มสูงขึ้นมากถึง 77% จากผลการสำรวจความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดย่อม (SMEs) ในปี 2559 ซึ่งจัดทำโดยแอมเวย์ ทำให้ผู้คนมองหาอาชีพอิสระที่ตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างเช่นแอมเวย์ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจแอมเวย์ขยายตัวได้อีกมากในอนาคต”

“กลยุทธ์AmwayNEXTเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะรายบุคคล รวมถึงการสนับสนุนนักธุรกิจแอมเวย์ในฐานะหุ้นส่วนทางธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในอาชีพนั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้แอมเวย์ทั่วโลกมีความมั่นคงยิ่งขึ้นและมีอนาคตที่สดใส”

สำหรับธุรกิจแอมเวย์ในประเทศไทยนั้น ดั๊กกล่าวเพิ่มเติมว่า “แอมเวย์ประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สูง ด้วยยอดขายที่เติบโต 6% ในปีที่ผ่านมา ประกอบกับการลงทุนในเรื่องของการสร้างโอกาสทางธุรกิจและประสบการณ์ให้แก่ผู้บริโภค ด้วยนวัตกรรมที่ตรงใจและช่วยสนับสนุนการทำงานของนักธุรกิจแอมเวย์ให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ แอมเวย์ประเทศไทยยังได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับนักธุรกิจแอมเวย์ที่มั่นคงเข้มแข็งและประสานการทำงานได้อย่างประสบความสำเร็จ จึงมั่นใจได้ว่า ธุรกิจแอมเวย์ในประเทศไทยจะยังคงเติบโตได้อีกมาก มีศักยภาพไกล และสามารถเป็นหนึ่งในสาขาของ แอมเวย์ทั่วโลกที่มียอดขายเป็นอันดับต้นๆ

Amway
และเพื่อตอกย้ำว่าประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีศักยภาพตามที่ ดั๊ก เดอโวส ได้กล่าวในข้างต้นกิจ ธวัช ฤทธีราวี กรรม การผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็ถือโอกาสครบรอบ 30 ปี แอมเวย์เปิดเผยตัวเลขไตรมาสแรกที่ต้องบอกว่าเติบโตอย่างพุ่งพรวดขึ้นมาถึง 10% มากสุดในรอบ 5 ปีจากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 5% หลังจากต้องเติบโตเล็กน้อยที่2-3%หรือติดลบในบางปีมาต่อเนื่องในช่วง4-5ปีที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ แอมเวย์มียอดการเติบโตพุ่งขึ้นมาในไตรมาสแรกนี้มาจากการรุกตลาดสุขภาพและความงามที่ยังเป็นเทรนด์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภค ซึ่งแอมเวย์ได้ออกโปรแกรมควบคุมน้ำหนักเฉพาะบุคคล บอดี้คีย์ บาย นิวทริไลท์ (BodyKey by Nutrilite) รวมถึงการเปิดตัว นิวทริไลท์ ไฟโตพาวเดอร์ (PhytoPowder) เครื่องดื่มให้ความสดชื่น ส่งผลให้แอมเวย์สามารถทำยอดขายใน ไตรมาสแรกของปี 2560 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

และไม่เพียงแค่นี้ เพราะแอมเวย์ยังมีแผนที่ท้าทายในการปรับภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรง เพื่อดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือ ยังแอนด์แอคทีฟ ที่อายุไม่เกิน 35 ปี ซึ่งมีการเติบโตมากถึง 40% เข้ามาในระบบธุรกิจขายตรงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันนักธุรกิจแอมเวย์ระดับแพลตินัมมีอัตราเติบโตขึ้นถึง 6% ซึงแอมเวย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนนักธุรกิจแอมเวย์ระดับแพลตินัมให้โตขึ้นอีก 2 เท่าในอีก 8 ปีข้างหน้า

สาเหตุของการปรับภาพลักษณ์ครั้งนี้ กิจธวัช ได้ให้เหตุผลว่า ธุรกิจขายตรงจำเป็นต้องดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาในระบบ และทำแบรนด์ให้หนุ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแบรนด์ก็จะแก่ลงไปเรื่อยๆและตายไปในที่สุด ซึ่งการจะดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเราต้องเปลี่ยนภาพจำเดิมๆที่คนยังมองว่าธุรกิจขายตรงเป็นเพียงอาชีพเสริมแต่แอมเวย์ต้องการให้คนมองว่า การขายตรงเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคงและเป็นโอกาสทางธุรกิจและเป็นตัวเลือกของคนรุนใหม่ ผ่าน แคมเปญ Work Life Balanch ปรับภาพลักษณ์จาก Business inside สู่ Lifestyleมากขึ้น

โดยทั้งหมดจะต้องเห็นเป็นรูปธรรมใน5ปี ซึ่งแอมเวย์วางแผนในการปรับ Business look ใน 3 เฟส คือเฟสแรก คือการปรับภาพลักษณ์เฟสที่สอง คือ การพัฒนาสินค้า และเฟสที่สาม พัฒนานักธุรกิจ

และสำหรับคำถามที่ว่า การเข้ามาของอีคอมเมิร์ช และการสื่อสารแบรนด์และการรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงหรือไม่ กิจธวัช มองว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อต่อธุรกิจขายตรงแน่นอน เพราะการขายตรงนักธุรกิจสามารถสาธิต แนะนำสินค้าให้ผู้บริโภคได้ตอบตัวต่อตัว เป็นรูปธรรมลูกค้าสามารถ สัมผัสและจับต้องได้จริง เป็นเสน่ห์ที่การรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียไม่สามารถทำได้

นอกจากกลยุทธ์ทางธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น กิจธวัช ยังได้จัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์ให้นักธุรกิจแอมเวย์ โดยทุ่มงบประมาณกว่า 360 ล้านบาท จัดทริปท่องเที่ยวระดับวีไอพีบนเมดิเตอร์เรเนียนครูซกับ 6 เมืองสวยของยุโรป ได้แก่ บาร์เซโลนา โพรวองซ์ นีซ ฟลอเรนซ์ โรม และเนเปิลส์ ในเดือนพฤษภาคมนี้

“สำหรับการตอบแทนสังคมไทย แอมเวย์ยังยืนหยัดให้ความสำคัญและดำเนินโครงการเพื่อเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง และในโอกาสครบรอบ 30 ปี แอมเวย์ได้จัดกิจกรรมครั้งใหญ่คือ “แอมเวย์…จักรยานเพื่อน้อง” มอบจักรยาน 3,000 คัน รวมงบประมาณกิจกรรมทั้งสิ้น 10 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตเยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศได้มีพาหนะในการเดินทางไปโรงเรียน โดยจะเปิดรับบริจาคสมทบจากผู้มีจิตศรัทธาจนถึง 31 พฤษภาคม และยกคาราวานลงพื้นที่ส่งมอบจักรยานในเดือนมิถุนายนนี้

“เราเชื่อมั่นว่าแอมเวย์จะก้าวสู่ความสำเร็จในปีต่อๆ ไปอย่างมั่นคงด้วยแกนหลักที่บริษัทยึดมั่น ได้แก่”ผลิตภัณฑ์คุณภาพ โอกาสทางธุรกิจ และการตอบแทนสังคมไทย” ซึ่งส่งผลให้แอมเวย์ครองความเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจขายตรงเมืองไทยอย่างต่อเนื่องยาวนานตลอด30 ปี”