ทรู เผยเทคโซลูชันยุค AI “Digital Intelligence Fabric” ขับเคลื่อนธุรกิจไทยก้าวทันเทคโนโลยี

ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ชี้ 3 เมกะเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังจะมาถึง คือ การหลอมรวมเทคโนโลยี (Integration), นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง (Innovation at Scale) และความเร็วของผลลัพธ์ (Acceleration) แนะองค์กรธุรกิจยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อรับมือ พร้อมเปิดมุมมองและทิศทางเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชัน 2026 ชู “Digital Intelligence Fabric” โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องมี กับ 8 องค์ประกอบหลัก ที่ผสมผสานหลากหลายเทคโนโลยีอย่างลงตัว เป็นนวัตกรรมโซลูชันอัจฉริยะที่เชื่อมโยงทุกระบบ กระบวนการทำงาน เทคโนโลยี และข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกธุรกิจในปี 2569 คือเทคโนโลยีทั้งหมดจะหลอมรวมเข้าหากัน รายงานอุตสาหกรรมชี้ว่า ปี 2568-2573 จะเป็นช่วงที่การลงทุนด้านดิจิทัลเติบโตสูง
• การใช้จ่ายเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ปี 2568 อยู่ที่ 10.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มเป็น 15.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573
• รัฐบาลไทยอนุมัติลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ รวม 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมตั้งเป้าสร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีกว่า 280,000 คน และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อีกกว่า 50,000 คน
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้การบูรณาการเทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกองค์กร


นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า “ปี 2569 จะเป็นปีสำคัญที่องค์กรไทยต้องเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่อย่างจริงจัง เพราะการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเงื่อนไขของการแข่งขัน
เราจะเห็น 3 การเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน คือ การหลอมรวมเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน (Integration), การสร้างนวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริงในธุรกิจ (Innovation at Scale) และความเร็วในการส่งมอบผลลัพธ์ (Acceleration)
เทคโนโลยีดิจิทัลจะเชื่อมโยงและหลอมรวมกันอย่างไร้รอยต่อมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมี AI เป็นกลจักรสำคัญ หากองค์กรยังไม่เริ่มวางรากฐานที่สามารถเชื่อมโยงต่อยอดเทคโนโลยีและระบบเข้าด้วยกัน อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เกิดความเสี่ยงในการเติบโตและลดโอกาสทางธุรกิจ
ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นแรงผลักสำคัญให้ทุกองค์กรต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ที่เชื่อมต่อได้แบบครบวงจร ซึ่ง Digital Intelligence Fabric จะเข้ามาช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทำหน้าที่เชื่อมต่อทุกระบบเข้าด้วยกัน ลดความซับซ้อน เพิ่มความเร็ว และทำให้เทคโนโลยีสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจจริง เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ที่จำเป็นสำหรับทุกองค์กรธุรกิจทุกขนาด”


Digital Intelligence Fabric เป็นองค์ประกอบของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ถักทอเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับโครงสร้างพื้นฐาน คือ การเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายทั้งโมบายล์และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ต่อยอดเชื่อมต่อไปจนถึงระดับซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน เสริมพลังระบบต่างๆ ขององค์กรให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อน เพิ่มความแม่นยำ และทำให้การใช้เทคโนโลยีเกิดผลลัพธ์จริง

Digital Intelligence Fabric ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1. Vertical Cloud with Embedded Security คลาวด์อัจฉริยะพร้อมระบบความปลอดภัยในตัวตั้งแต่ต้นทาง ลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี ลดภาระด้านบุคลากรไอที ช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานคลาวด์ได้อย่างมั่นใจและขยายระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มด้านความปลอดภัยไซเบอร์
2. Connectivity & IoT Platform เชื่อมทุกสิ่งรอบตัว ทั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร และเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้ากับโลกดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ รวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ภาคสนาม อาคาร ยานพาหนะ ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม การตรวจสอบ และการวิเคราะห์เชิงลึก
3. Computer Vision AI เปลี่ยนกล้องวงจรปิดเดิมให้ฉลาดขึ้นทันทีด้วย AI โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ ตรวจจับ วิเคราะห์ แจ้งเตือนความผิดปกติแบบเรียลไทม์ ทั้งด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงาน และประสบการณ์ลูกค้า ช่วยลดต้นทุนขณะที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
4. Connected Building & Energy Management แพลตฟอร์มบริหารอาคารและพลังงานเพื่อประหยัดต้นทุนและตอบโจทย์ความยั่งยืน (Sustainability) ควบคุมอุณหภูมิ แสงสว่าง และการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบรายงานการปล่อยคาร์บอนครบวงจร รองรับเป้าหมาย ESG
5. Smart Logistics & Supply Chain ระบบจัดการขนส่งและซัพพลายเชนแบบอัจฉริยะ เพื่อความรวดเร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่าสูงสุด เก็บข้อมูล Telemetric วิเคราะห์พฤติกรรมการขับ เลือกเส้นทางที่เหมาะสม ลดอุบัติเหตุ ลดค่าใช้จ่าย และบริหารส่วนอื่นๆ ในระบบซัพพลายเชน เช่น การต่อเชื่อมกับระบบคลังสินค้า (warehouse)
6. Data & AI Platform ดึงพลังจากข้อมูลทุกแหล่งเพื่อนำไปสร้างรายได้ ลดต้นทุน และเร่งการสร้าง AI ให้เร็วขึ้น รวมข้อมูลทั้งองค์กร ใช้งานง่ายแบบ No-code / Low-code ช่วยให้หน่วยธุรกิจสร้างแดชบอร์ด วิเคราะห์โมเดล AI และพัฒนาบริการใหม่ได้อย่างทันที รวมถึงการควบรวมข้อมูลจาก Telco ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด
7. Managed Cybersecurity ระบบความปลอดภัยครบวงจรที่ช่วยปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามยุคใหม่ตลอด 24/7 บริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก ปรับมาตรฐานความปลอดภัยรองรับการขยายระบบ ช่วยองค์กรลดภาระด้านเครื่องมือและบุคลากร พร้อมผลลัพธ์ด้าน Compliance
8. Digital Skill & Development ยกระดับคนให้พร้อมเติบโตไปกับเทคโนโลยี เรียนรู้ ทดลองทำจริง และสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กร พัฒนาความรู้ด้าน Data / AI / Cyber / Cloud พร้อมวางโรดแมปการ upskill & reskill เพื่อให้บุคลากรพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ตลอดเวลา


“โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทุกวันนี้เทคโนโลยีสามารถใช้ได้ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นผ่าน Platform as a Service องค์กรจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดใหญ่เหมือนในอดีต สามารถเริ่มต้นเล็ก ปรับขยาย หรือยกเลิกได้ตามความต้องการ ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจมีความยืดหยุ่นสูง
มั่นใจว่า Digital Intelligence Fabric จะยกระดับองค์กร เชื่อมกระบวนการทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อการทำงานที่รวดเร็วขึ้น แก้ปัญหาได้ตรงจุด และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายเอกราช กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ลูกค้าบริการโซลูชั่นปัจจุบันของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จะเป็นบริษัทขนาดกลาง ขณะที่ลูกค้าองค์กร SME คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 20% ของลูกค้าปัจจุบัน