‘Business Crack’ ครั้งนี้จะมาวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะต้องบอกว่าที่อยู่อาศัยของคน และห้างสรรพสินค้านั้น มีมูลค่าตลาดที่สูงมากๆ และสะท้อนกำลังซื้อของคนในประเทศได้เป็นอย่างดี
โดยในปี 2567 ภาพรวมของอุตสาหกรรมอสังหาฯ ฟื้นตัวได้อย่างจำกัด หลังจากผู้บริโภคยังคงเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน ที่มีภาวะหนี้สินครัวเรือน หนี้นอกระบบจำนวนมาก ขณะที่สถาบันการเงินก็อนุมัติสินเชื่อยากขึ้นเพราะต้องการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของตนเองเช่นกัน จึงไม่กล้าเสี่ยงปล่อยกู้สำหรับคนที่มีความเปราะบาง ถึงแม้ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมามากขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัว ซึ่งการที่สถาบันการเงินหลายแห่งปฏิเสธการให้สินเชื่อผ่อนชำระที่อยู่อาศัยทำให้ยอดสินเชื่อผ่อนชำระที่อยู่อาศัยที่ปล่อยใหม่ปี 2567 ลดลง 8%
ส่วนในปี 2568 มีการประเมินในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 โดยพบว่า มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดย 99.8% ของโครงการที่เปิดส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย ขณะที่พบว่าราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยถือว่าสูงกว่าทุกปี

ทีนี้เรามาดูข้อมูลเป็นรายธุรกิจกันว่า อสังหาฯ ประเภทไหนมีใครเป็นผู้นำตลาด และแต่ละตลาดนั้นมีการแข่งขันเป็นอย่างไรผ่าน Infographic ทั้งหมดนี้
กลุ่มที่อยู่อาศัยปี 68 เปิดตัวน้อย ราคาเฉลี่ยสูงกว่าทุกปี เน้นลูกค้ากำลังซื้อสูง

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย หรือ real estate ในปี 2567 ยังเผชิญภาวะชะลอตัว โดยมีปัจจัยกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลง และประเทศไทยยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง อีกทั้งภาวะดอกเบี้ยที่ยังสูงก็เป็นปัจจัยกดดันต่อการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้ว่าในปี 2567 ทางภาครัฐบาลจะมีมาตรการภาครัฐช่วยเหลือเพิ่มเติม แต่ก็ทำได้เพียงให้ตลาดฟื้นตัวในช่วงปลายปี โดยกลุ่มบ้านจัดสรรยังคงมีความต้องการสูง ส่วนคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตดีในกลุ่มผู้มีรายได้สูงและชาวต่างชาติ
ทั้งนี้หากเราจัดอันดับอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้มากที่สุดจะได้อันดับตาม Infographic นี้ ในแง่ของรายได้สูงสุดเป็นของ ‘แสนสิริ’ แต่ถ้าในแง่ของกำไรสุทธิตกเป็นของ ‘ศุภาลัย’ ซึ่งถือเป็นอสังหาฯ ที่มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยัง Active อยู่มากที่สุดในประเทศไทย และมีกำไรสุทธิสูงที่สุดในตลาดหุ้นหมวดอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ส่วนหนึ่งที่ทำให้ศุภาลัยควบคุมกำไรสุทธิได้ค่อนข้างดีเป็นเพราะว่าศุภาลัยเป็นอสังหาฯ เจ้าเดียวที่ใช้ชื่อบริษัท คือ ศุภาลัย เป็นชื่อหลักของทุกๆโครงการทำให้ประหยัดต้นทุนทางการตลาดได้มากกว่าแบรนด์อื่นๆ ที่อาจจะต้องทำการตลาดด้วยชื่อแบรนด์ใหม่ทุกครั้งที่ออกโครงการใหม่
สำหรับแนวโน้มในปี 2568 เราพบผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพียง 15,484 หน่วย โดย 99.8% เป็นที่อยู่อาศัย คิดเป็นมูลค่ารวม 111,230 ลบ.ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 7.184 ล้านบาทสูงกว่าทุกปี เพราะในปีนี้เน้นการเปิดขายสินค้าราคาแพงที่ผู้ซื้อยังมีกำลังซื้อมากกว่าสินค้าราคาถูกทั่วไป (ที่มา : area)
แบรนด์ไทยโตแรง+Easy E-Receipt 2568 ทำคนเดินห้างพุ่ง

มาต่อกันที่ห้างสรรพสินค้ากันบ้าง โดยในปี 2567 เริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นมาเกือบเท่ากับช่วงก่อน COVID-19 ประกอบกับมีสินค้าแบรนด์ไทยตีตลาดจำนวนมาก และเข้ามาเปิดร้านในห้างสรรพสินค้าทำให้มีความคึกคักมากขึ้น
ทั้งนี้หากดูจากข้อมูลผ่าน Infographic เราจะเห็นว่า มีห้างสรรพสินค้าหลายโครงการเกิดจากความร่วมมือระหว่างหลายบริษัท เช่น ไอคอนสยาม เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ขณะที่ เทอร์มินัล 21 เป็นบริษัทสยาม รีเทล ร่วมกับในกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
สำหรับเจ้าตลาดที่มีรายได้และส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดยังคงเป็น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ซึ่งในปีที่แล้วผลประกอบการสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ หลังจากที่ธุรกิจ Retail ร้านค้ายอดขายเติบโต จำนวนทราฟฟิกศูนย์การค้าและนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมหาศาล
ทั้งนี้แนวโน้มธุรกิจห้างสรรพสินค้าในปี 2568 เติบโตดีจากแรงหนุนเทศกาลปีใหม่, นักท่องเที่ยว, และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ Easy E-Receipt 2568 และนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต โดยเฉพาะการขยายตัวของแบรนด์แฟชั่นไทย (T-Fashion) ซึ่งมียอดขายเติบโตสูงถึง 138% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 และมีกลุ่มลูกค้า Gen Z เป็นกำลังซื้อสำคัญ รวมถึงการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาซื้อแบรนด์ไทย (ที่มา : เซ็นทรัล)
ตลาดอสังหาฯ ซบเซาต่อเนื่อง ปี 68 เน้นโครงการรัฐได้แต้มต่อ!

มาปิดท้ายกันที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกันบ้าง ซึ่งธุรกิจนี้ในปี 2567 ส่วนใหญ่ทำผลงานได้ค่อนข้างแย่ โดยบางรายถึงกับพลิกขาดทุนสุทธิกันเลยทีเดียว จาก Infographic จะเห็นว่ามีเพียง 1 เจ้าจาก 5 บริษัทที่ติดอันดับรายได้สูงที่สุดเท่านั้นที่กำไรสุทธิมีการปรับตัวขึ้น นั่นคือ บริษัท ฤทธา จำกัด หลังจากทั้งอุตสาหกรรมยังคงเผชิญความท้าทายจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น เช่น ค่าแรงและวัสดุ
โดย ฤทธา เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 สวนทางภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ซบเซา ซึ่งฤทธามีผลงานที่โดดเด่นและคุ้นหูกันมากคือการปรับปรุงโรงแรม พลูแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ
สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง (E&C) ในปี 2568 อยู่ในระดับทรงตัวจนถึงลบ (Neutral – Negative) โดยผู้รับเหมาที่มุ่งเน้นโครงการภาครัฐ น่าจะมีผลการดำเนินงานดีกว่า โดยตลาดการก่อสร้างคาดว่าจะเติบโตในกรอบที่จํากัด โดยมีการก่อสร้างโครงการของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก(TRIS)
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , Corpus X ,area , SET
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
The Business Plus บิสิเนสพลัส

