แต่ละธุรกิจย่อมมีความสามารถในการทำกำไรที่แตกต่างกัน โดยธุรกิจที่กำไรต่อชิ้นได้ต่ำก็อย่างเช่น ค้าปลีกที่เน้นการรับสินค้ามา และขายไป แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงธุรกิจที่มักทำอัตรากำไรสุทธิได้สูง พร้อมตัวอย่างในตลาดหุ้นไทย
อย่างแรกก็คือ ธุรกิจโฮลดิ้งที่มีรายได้หลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทที่เข้าไปถือหุ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่มีต้นทุนการผลิตหรือการดำเนินงานโดยตรงเหมือนบริษัทที่ผลิตสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโฮลดิ้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริษัทลูกที่เข้าไปลงทุนด้วย โดยตัวอย่างบริษัทโฮลดิ้งในตลาดหุ้นไทยก็อย่างเช่น บมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง และบมจ. ตงฮั้ว โฮลดิ้ง ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 45% และ 52% ในปี 2567 ตามลำดับ เป็นต้น
ต่อมาคือธุรกิจเทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แบบ SaaS มักจะมีอัตรากำไรสุทธิสูง เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาซอฟต์แวร์เมื่อสร้างเสร็จแล้วต่ำ และสามารถจำหน่ายซอฟต์แวร์เพิ่มเติมได้ในต้นทุนที่ต่ำมาก ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงในตลาดหุ้นไทยก็อย่างเช่น บมจ. เน็ตเบย์ และบมจ. บิซิเนส ออนไลน์ มีอัตรากำไรสุทธิ 37% และ 38% ในปีที่แล้ว
สุดท้ายคือ ธุรกิจพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภคบางประเภท เพราะกระบวนการผลิตพลังงานทดแทนมักมีต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำหรือแทบไม่มีเลย เช่น พลังงานน้ำและแสงอาทิตย์ ที่มีต้นทุนการติดตั้งสูงในช่วงแรกเท่านั้น สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคมักมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่สูง และข้อจำกัดด้านกฎหมายควบคุมการแข่งขัน ทำให้บริษัทที่เป็นผู้ชนะ สามารถผูกขาดตลาดได้ บริษัทพลังงานและสาธารณูปโภคในตลาดหุ้นในไทย ที่มีอัตรากำไรสุทธิสูง ได้แก่บมจ. เอสเอเอเอ็ม ดีเวลลอปเมนท์ และบมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์
ที่มา: SETSMART