สำหรับธุรกิจไอที การเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนกลายเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด การเติบโตในอุตสาหกรรมนี้จึงจำเป็นต้องรู้จักรับมือกับความผันผวน และเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิตตลอดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งมีหลักคิดเบื้องต้นอยู่ 12 ข้อดังนี้
1. ต้องรู้เป้าหมายของสิ่งที่กำลังทำอยู่
เพราะเป้าหมายจึงทำให้เรามองเห็นความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า เราจึงมุ่งมั่นทำงานโดยไม่หวังคำชื่นชมหรือคำสรรเสริญเยินยอจากคนรอบข้าง เราจึงไม่หวั่นไหวไปกับคำวิจารณ์ของคนอื่น แต่ทำงานต่อไปได้อย่างมีความสุขจากภายในตัวเราเอง
2. ไม่เสียเวลาไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นฐานะความเป็นอยู่ หน้าที่การงาน สถานะทางสังคม ฯลฯ เพราะการเปรียบเทียบมักจะจบลงที่ความรู้สึกเชิงลบ ตรงกันข้ามกับคนที่มีพลังความมั่นใจจากภายใน มักไม่ชอบการเปรียบเทียบแข่งขัน ทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเกิดขึ้นตลอดเวลา
3. ต้องมั่นใจเกินร้อยก่อนที่จะรับปากใคร
ซึ่งคนที่รับปากคนอื่นโดยไม่คิดให้รอบคอบ มักจะเจอความล้มเหลวอยู่บ่อย ๆ เพราะไม่สามารถทำได้ตามที่รับปากไว้ ผลที่เกิดคือความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะต้องพยายามทำทุกอย่างเกินตัว และเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้ตามที่รับปากไว้ไม่ได้ก็ยิ่งสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเรื่อย ๆ
4. ต้องรู้จักรับฟังผู้อื่นอยู่เสมอ
ข้อนี้อย่าเสียเวลาไปกับการนำเสนอตัวเองให้ผู้คนรอบข้าง เพราะการพร่ำบอกคนอื่นว่าตัวเราเก่งเพียงใดนั้นไม่ทำให้เราเก่งขึ้นเลย
5. ต้องไม่ทำตัวเป็นคนโลเล
เพราะความมั่นใจในตัวเองเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากความตรงไปตรงมา คิดแบบใดก็ต้องสื่อความถึงสิ่งนั้นอย่างชัดเจน
6. ทำทุกอย่าง อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ค่อย ๆ ทำทีละหน่อย เพื่อสะสมความสำเร็จทีละน้อย เพราะวิธีนี้ทำให้เราขยับเข้าใกล้ความสำเร็จไปได้เรื่อย ๆ ที่สำคัญ ยังทำให้เรามีความมั่นใจจากสิ่งที่ได้บรรลุไปตามขั้นตอนต่าง ๆ ทีละน้อยกลายเป็นกำลังใจให้เรากล้าทำส่วนที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
7. ไม่คาดหวังความชื่นชมจากคนอื่น
โดยการคาดหวังคำชื่นชมจากคนอื่น อาจทำให้เราผิดหวังทั้งที่เนื้อแท้แล้ว เรายังมีดีที่คนอื่นมองไม่เห็นอีกมาก
8. กล้ารับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเอง
แม้ว่าไม่มีใครต้องการให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับผลของมัน และยอมรับคำท้วงติงและคำแนะนำจากคนรอบข้าง อย่าปกปิดความผิดพลาดนั้นแล้วปล่อยให้ผ่านเลยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเหตการณ์นั้นเลย
9. พร้อมรับโอกาสใหม่ ๆ เสมอ
เพราะหลายคนพลาดโอกาสที่ดีในชีวิตไปเพียงเพราะความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจในตัวเอง ในขณะที่บางคนก็กังวลเรื่องครอบครัว กลัวเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ ทำให้ไม่กล้ารับความท้าทายใหม่ ๆ จึงพลาดโอกาสที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ที่อาจเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในอนาคต
การห่วงหน้าพะวงหลังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราก้าวไปไหนไม่ได้ ในขณะที่บางคนจะเตรียมพร้อมกับทุกช่วงของชีวิต จึงจัดการทุกอย่างรอบตัวไว้พร้อมแล้ว เมื่อโอกาสมาถึงจึงคว้าไว้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดกังวลกับทุกเรื่องรอบข้างเหมือนคนทั่วไป
10. อย่าขี้เหนียวคำชม
เพราะการชมคนอื่นว่าดีและเก่งไม่ได้มีต้นทุนใด ๆ หากเราชมเขาด้วยความจริงใจ และแม้ว่าจะเขาจะมีข้อดีอยู่เพียง 1% เราก็ต้องรู้จักชื่นชมให้เขามีกำลังใจเพื่อพัฒนาตัวเองได้ต่อไป
อย่าปล่อยให้ความคิดที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางครอบงำ เพราะนั่นจะทำให้เรามองเห็นแต่ตัวเองจนมองไม่เห็นหัวผู้อื่น แม้ว่าเขาจะทำงานหนักหรือทำงานดีเพียงใด เราก็จะเห็นแต่เพียงงานที่เราทำเป็นหลัก จนไม่รู้สึกในคุณค่าของสิ่งที่เขาทำ หากเป็นแบบนี้ไปนาน ๆ เข้าเขาก็อาจไม่อยู่ร่วมงานกับเราต่อไปได้
11. ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
โดยอย่าคิดว่าเป็นเรื่องแย่ เป็นเรื่องที่ต้องเสียศักดิ์ศรี หรือเสียฟอร์มที่ต้องให้คนอื่นมาช่วย เพราะในยุคนี้การทำงานที่ได้ผลดีที่สุดคือ การผสานความเป็นเลิศของหลาย ๆ คนเข้าด้วยกัน
12. ต้องตระหนักในความสำคัญของเวลา
เพราะแต่ละคนไม่ว่าจะแตกต่างกันมากมายเพียงใด ทั้งคนจนคนรวย บริษัทใหญ่บริษัทเล็ก ฯลฯ ต่างก็มีเวลาวันละ 24 ชม. เท่ากัน การจัดสรรเวลาให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
การจัดสรรเวลาในทุกวันนี้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการทำงานหรือชีวิตครอบครัว แต่ยังมีงานสังคม งานการเมือง ฯลฯ ที่เราต้องรู้จักแบ่งแยกออกจากกันให้ชัดเจน อย่าให้ปะปนกันจนทำให้ชีวิตมีปัญหา เพราะทำอะไรก็จะรู้สึกว่ามีเวลาไม่พอไปเสียหมด
การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ฝึกฝนและพัฒนาตัวเองได้เสมอ หากเราเปิดกว้างทางความคิดและหาทางแก้ไขข้อบกพร่องของเราตลอดเวลา
แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ